ความสำคัญของผลงานหรือนวัตกรรม
ปัจจุบันการปฏิรูปการศึกษา มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทาง การศึกษาและปฏิรูประบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับความหลากหลายของการจัดการศึกษาและตอบโจทย์การพัฒนาของโลกอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนทุกกลุ่มวัยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน มีทักษะที่จำเป็นของโลกอนาคต สามารถแก้ปัญหา ปรับตัว สื่อสาร และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิผล มีวินัย มีนิสัยใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และเป็นพลเมืองที่รู้สิทธิและหน้าที่มีความรับผิดชอบ มีจิตสาธารณะ มีความรักและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย โดยมีขอบเขตครอบคลุมทั้งการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน นำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ,2564)
ทฤษฎีพหุปัญญา ของ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ ชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายทางปัญญาของมนุษย์ ซึ่งมีหลายด้าน หลายมุม แต่ละด้านก็มีความอิสระในการพัฒนาตัวของมันเองให้เจริญงอกงาม ในขณะเดียวกันก็มีการบูรณาการเข้าด้วยกัน เติมเต็มซึ่งกันและกัน แสดงออกเป็นเอกลักษณ์ทางปัญญาของมนุษย์แต่ละคน คนหนึ่งอาจเก่งเพียงด้านเดียว หรือเก่งหลายด้าน หรืออาจไม่เก่งเลยสักด้าน แต่ที่ชัดเจน คือ แต่ละคนมักมีปัญญาด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่นกว่าเสมอ ไม่มีใครที่มีปัญญาทุกด้านเท่ากันหมด หรือไม่มีเลยสักด้านเดียว นับเป็นทฤษฎีที่ช่วยจุดประกายความหวัง เปิดกระบวนทัศน์ใหม่ในการศึกษาด้านสติปัญญาของมนุษย์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งในกลุ่มเด็กปกติ เด็กที่มีความบกพร่อง และเด็กที่มีความสามารถพิเศษ (H. Gardner ,1997)
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, (2550) กล่าวว่า Garther ได้ระบุถึงปัญญา ๘ ด้าน (ความสามารถพิเศษ) และให้คำจำกัดความไว้ดังนี้
1.ด้านวาจา/ภาษา (Verbal/Linguistic Intelligence) ปัญญาด้านวาจา/ภาษา จะเชื่อมโยงกับ ภาษา
เกี่ยวข้องกับความสามารถทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน และเชื่อมโยงข้อมูล บุคคลผู้มีความสามารถด้านนี้ จะอ่อนไหวกับความหมายของคำ ตลอดจนการนำมาใช้การจัดรูปแบบ การเลือกสรรคำ บุคคลดังกล่าวนี้ ยังตระหนักถึงหน้าที่อันหลากหลายของภาษาโดยรู้ซึ้งถึงอำนาจของภาษาในการกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก เหล่ากวี นักเขียน นักพูด ครู ทนายความ พิธีกร และนักการเมือง ล้วนแสดงให้เห็นถึงจุดแข็งของปัญญาด้าน วาจา/ภาษา ปัญญาด้านนี้จะเน้นกันมากในโรงเรียนและมีส่วนช่วยให้ประเทศเป็นสังคมของการรู้หนังสือ
2.ด้านดนตรี/จังหวะ (Music/Rhythmic Intelligence) Gardner กล่าวว่า ผู้มีแววทางด้านดนตรีนั้นมี
ต่างกัน คือ ตั้งแต่อดีตกวีผู้เชี่ยวชาญในการคิดทำนองดนตรีใหม่ๆ ไปจนถึงนักฟังเพลง ไร้ประสบการณ์ที่พยายามจะฟ้องเพลงกล่อมเด็ก (หรือเพลงระดับพื้น ๆ อื่นๆ) ให้เข้าใจ เราทุกคนล้วน มีความสามารถทางดนตรีในระดับหนึ่ง ข้อแตกต่างคือ บางคนมีทักษะมากกว่าผู้อื่น หากไม่คำนึงถึง ความสามารถขั้นสูงแล้ว ทุกคนมีความสามารถเพียงพอที่จะสนุกไปกับเสียงดนตรี อันประกอบไปด้วย ระดับเสียง จังหวะ และลักษณะของเสียงเครื่องดนตรีที่ผิดแผกกัน เพราะมีเสียงคู่แปลกมาปน ปัญญาด้านดนตรี/จังหวะ คือ ผู้เรียนรู้เรื่องการฟังที่แฝงอยู่ในตัวเรา สรรพสำเนียงต่างๆ ในโลกทั้งจากสภาพแวดล้อมและเสียงดนตรี การตระหนักรู้และความบันเทิงใจตลอดจนการนำเสียงต่างๆๆ เหล่านี้มาใช้ล้วนก่อให้เกิด เป็นความสามารถพิเศษดังกล่าว บุคคลผู้มีปัญญาด้านดนตรี/จังหวะสูง ได้แก่ นักร้อง นักแต่งเพลง วิทยกร และผู้ที่เข้าใจลึกซึ้งและชื่นชอบในเรื่องดนตรี
3. ด้านตรรกะ/คณิตศาสตร์(Logical/Mathematical Intelligence) ปัญญาด้านตรรกะ/ คณิตศาสตร์จะรวมถึงความสามารถด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์นักคณิตศาสตร์นั้น รักที่จะค้นคว้าและทำงานกับสิ่งที่เป็นนามธรรม สนุกกับการแก้ปัญหาที่ต้องสรรหาเหตุผลมากมายมาประกอบ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ ต้องการคำอธิบายทุกสิ่งให้เป็นรูปธรรรม สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้ว คณิตศาสตร์เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับ สร้างต้นแบบและทฤษฎี นักคณิตศาสตร์ วิศวกร นักฟิสิกส์ นักดาราศาสตร์ คอมพิวเตอร์ โปรแกรมเมอร์ และ นักวิจัยล้วนเป็นผู้มีทักษะด้านตรรกะ/คณิตศาสตร์ในระดับสูง
4. ด้านทัศนสัมพันธ์/มิติสัมพันธ์ (Visual/Spatial Intelligence) ปัญญาด้านทัศนสัมพันธ์/ มิติสัมพันธ์คือ ความสามารถที่เข้าใจโลกที่เห็นได้อย่างแม่นยำ ผู้มีปัญญาด้านนี้จะนำเสนอข้อมูลทางด้านมิติ ให้ออกมาเป็นภาพได้ และมีพรสวรรค์อันเฉียบคมในการดึงภาพจากความคิดฝึกมาทำให้ปรากฏ ศิลปินและนักออกแบบจะมีทักษะนี้ เพราะสามารถสนองตอบต่อโลกแห่งภาพและมิติ โดยสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาสร้างเป็นชิ้นงานศิลปะได้ บุคคลในกลุ่มนี้ยังได้แก่ กะลาสี วิศวกร ศัลยแพทย์ ประติมากร นักวาดแผนที่ และ สถาปนิก อีกด้วย
5. ปัญญาด้านร่างกาย/การเคลื่อนไหว (Body/Kinesthetic Intelligence) ปัญญาด้านนี้ จะขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคคลในการควบคุมการเคลื่อนไหวทางร่างกาย และพรสวรรค์ในการพลิกแพลง หยิบจับวัตถุต่างๆด้วยความคล่องแคล่ว บุคคลผู้มีปัญญาด้านนี้ในระดับสูงจะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ผ่านทางการสัมผัสและการเคลื่อนไหวในระดับสูงเพราะร่างกายมีบทบาทสำคัญยิ่งต่ออาชีพ บุคคลอื่นๆ ในกลุ่มนี้ ได้แก่ นักเต้นรำ นักเล่นกายกรรม และนักกีฬา
6. ด้านธรรมชาติ (Naturalist Intelligence) ปัญญาด้านนี้คือ ความสามารถในการปรับตัว เพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อม ความสามารถเข้าใจเรื่องธรรมชาตินั้น รวมถึงความสามารถในการบ่งบอกชื่อ อนุรักษ์ดูแลและเพลิดเพลินใจไปกับพื้นดินแผ่นฟ้าและสายน้ำ โดยสามารถอยู่รอดปลอดภัยและปรับตน ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ตนอยู่ได้ บุคคลผู้ปลูกต้นไม้ได้้ งอกงามและชาวนาซึ่งสามารถทำให้ท้องทุ่งของตน อุดมสมบูรณ์มีผลผลิตสูง จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านธรรมชาติในระดับสูง บุคคลผู้สามารถบ่งบอก ชื่อชนิดของต้นไม้ ดอกไม้ป่า พืชพันธุ์ นก สัตว์ และสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถ พิเศษด้านนี้ บุคคลในกลุ่มนี้ได้แก่ นักดาราศาสตร์ นักชีววิทยา นักอนุรักษ์ธรรรมชาติ เจ้าหน้าที่พิทักษอุทยาน แห่งชาติ ภูมิทัศนศิลปิน เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ และสัตวแพทย์
7. ด้านการรู้จักตนเอง (Intrapersonal Intelligence) ปัญญาด้านนี้ คือ การเข้าใจความรู้สึกของตนเอง คนเหล่านี้จะเข้าใจระดับอารมณ์ของตนได้โดยสัญชาตญาณ สามารถระบุอารมณ์ได้และใช้เป็น เครื่องมือควบคุมพฤติกรรมของตน Gardner กล่าวว่า ปัญญาด้านการรู้จักตนเอง เป็นความสามารถ ที่นอกจากจะแยกแยะความรู้สึกสบายออกจากความรู้สึกเจ็บปวดได้แล้ว ยังสามารถตัดสินใจต่อได้ว่าควร เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือควรถอน
8. ด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Interpersonal Intelligence) ปัญญาด้านนี้ต่างจากด้านการรู้จัก ตนเอง ซึ่งมองลึกเข้าสู่ภายในในการรู้จักผู้อื่น ความสามารถพื้นฐานของคนกลุ่มนี้คือ ความสามารถพิเศษ ในการเข้าใจผู้อื่นมีพรสวรรค์ในการสังเกตและเห็นความแตกต่างในหมู่คนสามารถเข้าใจล่วงรู้ถึง อารมณ์ ความรู้สึก แรงจูงใจและความตั้งใจของคนเหล่านั้น เช่น ในระดับธรรมดา ๆ เด็กจะรู้จักสังเกตและไวต่ออารมณ์ ความรู้สึกของผู้ใหญ่รอบข้าง ถ้าเป็นระดับสูงซับซ้อนขึ้นมา ผู้ใหญ่ที่มีทักษะนี้จะสามารถอ่านใจ ผู้อื่นได้ว่าที่จริงแล้วต้องการอะไร แม้ผู้นั้นจะพยายามปกป้องก็ตาม บุคคลในกลุ่ม ได้แก่ ผู้นำทางศาสนา ผุ้นำทางการเมือง พ่อแม่ ครู นักบำบัดและเจ้าหน้าที่แนะแนว
เพื่อพัฒนานักเรียนให้สามารถวางแผนการศึกษาได้ ครูผู้สอนจึงจัดรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ แบบประเมินความสามารถทางพหุปัญญาด้วยทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ มาใช้ในการประเมินความสามารถของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนเข้าใจความสามารถของตนเอง ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตน และปรับปรุงจุดอ่อนของตน เสริมความมั่นใจในตนเอง และช่วยในการประเมินทักษะพื้นฐานและระดับ ของนักเรียนได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้การบริหารจัดการด้านการเรียนและการวางแผนการศึกษาของนักเรียนเกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในลำดับต่อไป