ชื่อเรื่อง : การสร้างรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติ
ผู้จัดทำ : นางสาวจุฑามาศ วงศาเพชร ชั้น ม.6/1
นางสาวทิตา สว่างวงษ์ ชั้น ม.6/1
นางสาวธัณณธักษอร ไกรกิศยากรณ์ ชั้น ม.6/1
ที่ปรึกษา : นางสาวณัฐพร เอี่ยมทอง
นางสาวมาวิการ์ เจ๊ะหมัด
ปีการศึกษา : 2568
บทคัดย่อ
เรื่องการสร้างรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติ มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
1.) เพื่อสร้างรหัสลับในการพัฒนาระบบการเข้ารหัสข้อมูล โดยใช้ความรู้เรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติ
2.) เพื่อศึกษาคุณภาพและความพึงพอใจของการใช้งานรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติ โดยการใช้ข้อมูลตัวอย่างในการเข้ารหัสและถอดรหัส โดยมุ่งเน้นการออกแบบระบบที่สามารถป้องกัน ข้อมูลจากการเข้าถึงโดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตและให้ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นสามารถเข้าถึงข้อมูล และสื่อสารได้อย่างปลอดภัย
ผลการศึกษา พบว่าสามารถส่งข้อความเป็นรหัสลับจากฟังก์ชันตรีโกณมิติได้ โดยรูปแบบข้อความที่สามารถแปลงเป็นรหัสลับได้ เช่น ตัวอักษรภาษาอังกฤษ A-Z จำนวน 26 ตัวอักษร หรือเลขโดด 0-9 จำนวน 10 ตัว ซึ่งฟังก์ชันที่สามารถนำมาใช้ในการเข้ารหัสได้ คือ ฟังก์ชัน sine cosine tangent cosecant secant cotangent หรือ ฟังก์ชันมุม n เท่า ฟังก์ชันมุม 1/n เท่า ในส่วนของมุมที่ใช้แทนตัวอักษรในแต่ละฟังก์ชันต้องกำหนดมุมแทนตัวอักษรเพื่อไม่ให้เกิดค่าที่ซ้ำกันหรือค่าที่ติดลบ เช่น ฟังก์ชัน sine ,cosecant (ยกเว้น 0°และ180°) ต้องกำหนดมุม = 0°-180°
ฟังก์ชัน cosine ,tangent ,cotangent ,sine มุม 2 เท่า ต้องกำหนดมุม = 0°- 90°
จากศึกษาคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน พบว่า มีระดับคุณภาพเฉลี่ย 4.56 อยู่ในเกณฑ์ระดับมากที่สุดและจากการศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 100 คน พบว่า มีระดับความพึงพอใจเฉลี่ย 4.46 อยู่ในเกณฑ์ระดับความพึงพอใจมากที่สุด
วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน
1. เพื่อสร้างรหัสลับในการพัฒนาระบบการเข้ารหัสข้อมูล โดยใช้ความรู้เรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติ
2. เพื่อศึกษาคุณภาพและความพึงพอใจของการใช้งานรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติ โดยการใช้ข้อมูลตัวอย่างในการเข้ารหัสและถอดรหัส
3. เพื่อวิเคราะห์ความปลอดภัยและความแม่นยำของรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติ
สมมติฐาน
สามารถใช้ฟังก์ชันตรีโกณมิติในการสร้างรหัสลับและเข้ารหัสข้อมูลที่มีความปลอดภัยได้
สรุปผล
1. สามารถสร้างรหัสลับในการพัฒนาระบบการเข้าฐานข้อมูลโดยใช้ความรู้เรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติได้
2. สามารถศึกษาคุณภาพและความพึงพอใจของการใช้งานรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติโดยใช้ข้อมูลตัวอย่างในการเข้ารหัสและถอดรหัสเพื่อวิเคราะห์ความปลอดภัยและความแม่นยำของระบบได้
3. จากการทำแบบประเมินคุณภาพที่มีต่อรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติ กลุ่มประชากรตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคุณภาพ ได้แก่ ครูผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน มีค่าเฉลี่ยโดนรวม 4.48 อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด ซึ่งพบว่าตัวอย่างการสร้างรหัสลับและถอดรหัสลับที่แสดงในโครงงานมีความชัดเจนและเข้าใจง่าย อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.80 การสร้างรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันมีความสร้างสรรค์ อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.80 การสร้างรหัสลับสามารถเป็นแนวทางในการเลือกใช้งานอยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.40
4. จากการทำแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาความพึงพอใจ ได้แก่ เพื่อนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 101 มีค่าเฉลี่ยโดนรวม 4.46 อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด ซึ่งพบว่าการสร้างรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของฟังก์ชันตรีโกณมิติ อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.60 ความน่าสนใจของการสร้างรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติในรูปแบบการนำความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.53 ผู้ใช้ได้ประโยชน์จากการออกแบบรหัสลับด้วยฟังก์ชันตรีโกณมิติ อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.53