ผู้วิจัย นายสมเกียรติ มาแก้ว ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถานศึกษา
สถานศึกษา โรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1
ปีที่วิจัย ปีการศึกษา 2567
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี 2) พัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี
มีองค์ประกอบของรูปแบบ 6 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหา 4) กระบวนการ5) การวัดผลประเมินผล และ 6) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ มีองค์ประกอบของสมรรถนะครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่ 6 ด้าน คือ 1) ภาวะผู้นำครู 2) การพัฒนาหลักสูตรแบบบูรณาการ 3) การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 4) การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อจัดการเรียนรู้ 5) การวัดและประเมินผลเพื่อการพัฒนา และ6) การวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน มีกระบวนการพัฒนาครูภายใต้วงจร PDCAR (PlanDoCheckActReflect) เป็นกรอบดำเนินงานหลัก และบูรณาการ
4 วิธีการพัฒนาครู ได้แก่ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การศึกษาดูงาน การพัฒนาขณะปฏิบัติงาน และการศึกษาและพัฒนาตนเอง เพื่อให้ครูได้รับทั้งความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เชิงปฏิบัติจริงอย่างครบถ้วน โดยมีเป้าหมายคือพัฒนาคุณภาพผู้เรียน 3 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) ความสามรถในการคิดวิเคราะห์ และ 3) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน มีการดำเนินการโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) ประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐานการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี ระยะที่ 3 การนำรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี และระยะที่ 4 การประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี เครื่องมือที่ใช้วิจัยได้แก่ คู่มือการใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1
ผลการวิจัย พบว่า
1. ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี เริ่มจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดและทฤษฎีด้านรูปแบบการจัดการเรียนรู้ สมรรถนะครู การเรียนรู้ยุคใหม่ และความพึงพอใจ เพื่อใช้เป็นแนวทางกำหนดขอบเขตและทิศทางของการศึกษาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย จากการสังเคราะห์องค์ประกอบและตัวชี้วัดของสมรรถนะครู โดยการวิเคราะห์องค์กรด้วยเทคนิค SWOT Analysis พบว่า สมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่ประกอบด้วย 3 ด้านหลัก คือ การวางแผนการจัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญว่าเหมาะสม ครอบคลุม และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้บริบทของโรงเรียน ส่วนผลการศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์พบว่า ครูมีสมรรถนะโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีความต้องการพัฒนาสูงสุดในด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งแม้ครูสามารถดำเนินการได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังขาดความหลากหลายของเครื่องมือและวิธีการประเมิน รวมทั้งการประเมินผลจากการปฏิบัติจริงและการส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินตนเอง ด้านการวางแผนการจัดการเรียนรู้ ครูสามารถดำเนินการได้ดีพอสมควร แต่ยังควรพัฒนาการกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนและสอดคล้องกับสมรรถนะของผู้เรียน ส่วนด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่าครูควรได้รับการส่งเสริมให้สามารถออกแบบกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สอดคล้องกับสถานการณ์จริง และมีการให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ผลการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะครูชี้ให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้ยุคใหม่ควรยึดหลักความร่วมมือ เน้นผลลัพธ์ของผู้เรียน และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครู โดยครูควรมีสมรรถนะสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การวางแผนการจัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลเชิงรุก ครูควรทำหน้าที่เป็นผู้นำทางวิชาการ มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและหน่วยการเรียนรู้ ออกแบบกิจกรรมที่ตอบสนองต่อความสนใจของผู้เรียน ใช้เทคโนโลยีและเครือข่ายความร่วมมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสอน และประเมินผลตามสภาพจริงอย่างหลากหลาย ครอบคลุมทั้งความรู้ ทักษะ และความพึงพอใจของผู้เรียน ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการพัฒนารูปแบบ ได้แก่ การสนับสนุนจากผู้บริหาร การมีส่วนร่วมของครู และความร่วมมือจากเครือข่ายการเรียนรู้ภายในและภายนอกโรงเรียน.
2. ผลการการพัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี พบว่ารูปแบบที่พัฒนาขึ้น มี 6 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหา 4) วิธีดำเนินการ 5) การประเมินผล และ 6) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ โดยผ่านการตรวจสอบยืนยันด้วยการสนทนากลุ่ม (Focus Group) จากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ และผลการประเมินความถูกต้องและความเหมาะสมของรูปแบบ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนผลการสร้างคู่มือการใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี พบว่า คู่มือการใช้รูปแบบ ประกอบด้วย 4 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 บทนำ ประกอบด้วย ความเป็นมา ส่วนที่ 2 รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี ส่วนที่ 3 การดำเนินการตามรูปแบบ และส่วนที่ 4 เครื่องมือประเมินผลรูปแบบ และผลการประเมินความถูกต้องและความเหมาะสมของคู่มือการใช้รูปแบบ โดยรวมความถูกต้องของคู่มืออยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนความเหมาะสมของคู่มือก็อยู่ในระดับมากที่สุด
3. ผลการนำรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี ไปใช้ในสถานศึกษา กับครู จำนวน 72 คน พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการพัฒนาอยู่ที่ 8.97 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 และหลังการพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็น 17.79 คะแนน หรือเพิ่มขึ้น 8.82 คะแนน แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่ที่ชัดเจน โดยผลการวิเคราะห์ทางสถิติยืนยันว่าความแตกต่างดังกล่าวมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หลังการพัฒนา ครูมีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่อยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ รองลงมาคือการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนา การพัฒนาภาวะผู้นำ การจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการ และการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามลำดับ ในด้านผลการพัฒนาผู้เรียน พบว่านักเรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลและส่งเสริมศักยภาพผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม โดยนักเรียนระดับชั้นต้นมีผลสัมฤทธิ์สูงกว่าชั้นปลาย และเมื่อพิจารณารายกลุ่มสาระ พบว่ากลุ่มสาระที่เน้นทักษะชีวิตและการปฏิบัติ เช่น สุขศึกษา พลศึกษา ศิลปะ และการงานอาชีพ มีผลสัมฤทธิ์สูงสุด ขณะที่กลุ่มสาระวิชาพื้นฐานอย่างภาษาไทยและคณิตศาสตร์มีคะแนนต่ำกว่าเล็กน้อย ส่วนผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า โรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานีมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าระดับประเทศในทุกกลุ่มสาระ โดยเฉลี่ยรวม 55.38 คะแนน สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ 39.95 คะแนน ถึง 15.54 คะแนน โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษมีผลต่างมากที่สุด รองลงมาคือคณิตศาสตร์ ภาษาไทย และวิทยาศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการศึกษาและการพัฒนาครูที่มีคุณภาพ และด้านความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 16 ปีการศึกษา 2567 พบว่าผู้เรียนมีผลการประเมินเฉลี่ยร้อยละ 79.50 สูงกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 75 โดยทุกด้านของการคิดวิเคราะห์ ได้แก่ การวิเคราะห์ความสำคัญ ความสัมพันธ์ และหลักการ ล้วนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ส่วนผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนพบว่ามีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าค่าเป้าหมายในทุกระดับชั้น โดยเฉลี่ยรวมอยู่ที่ร้อยละ 88.02 ในด้านความตั้งใจและพยายาม และร้อยละ 90.17 ในด้านความอดทนและไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรค โดยเฉพาะนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 5 มีคะแนนสูงสุด สะท้อนให้เห็นว่าผู้เรียนมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และสามารถเผชิญความท้าทายเพื่อให้งานบรรลุผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
4. ผลการประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี
ผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี พบว่ารูปแบบดังกล่าวมีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งในด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ โดยด้านที่ได้รับคะแนนสูงสุดคือด้านความเป็นประโยชน์ ซึ่งช่วยสร้างความตระหนักให้ครูเข้าใจบทบาทของตนในการจัดการเรียนรู้ พัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน และส่งเสริมให้บุคลากรในโรงเรียนเข้าใจตนเอง ผู้อื่น นักเรียน หลักสูตร และนวัตกรรมที่ใช้ในการเรียนการสอนได้ดียิ่งขึ้น ด้านความเหมาะสมมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาบุคลากรและสภาพการจัดการศึกษาในโรงเรียน ส่วนด้านความถูกต้องมีความชัดเจนทั้งในจุดมุ่งหมายและกระบวนการดำเนินงาน ขณะที่ด้านความเป็นไปได้ได้รับการยอมรับว่าสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและสอดคล้องกับเป้าหมายของโรงเรียนอย่างเป็นรูปธรรม ในส่วนของความพึงพอใจของครูต่อรูปแบบการพัฒนา พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน โดยครูส่วนใหญ่เห็นว่าการพัฒนานี้ช่วยส่งเสริมให้เกิดการวางแผนร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยครูสามารถนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมาบูรณาการร่วมกันเพื่อจัดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา และตอบสนองต่อความสนใจ ความสามารถ และความถนัดของผู้เรียนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ครูยังเน้นการบูรณาการความรู้จากหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ที่หลากหลายและเชื่อมโยงกับชีวิตจริง แม้ว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือการใช้วิธีและเครื่องมือประเมินผลที่หลากหลาย แต่ยังอยู่ในระดับมากที่สุด โดยครูมีการใช้การสังเกต การทดสอบ การทำโครงงานหรือสิ่งประดิษฐ์ รวมถึงการนำเสนอผลงานและอภิปรายร่วมกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าครูมีความพึงพอใจสูงต่อรูปแบบการพัฒนานี้ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
โดยรวมผลจากการวิจัยครั้งนี้พบว่า รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่ที่สร้างขึ้นมีความเหมาะสม ถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ได้จริงในบริบทของโรงเรียนอนุบาลเมืองอุทัยธานี ส่งผลให้ครูมีความรู้ ความเข้าใจ และสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ยุคใหม่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยยกระดับคุณภาพผู้เรียนทั้งด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การคิดวิเคราะห์ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยภาพรวม รูปแบบที่พัฒนาขึ้นถือว่ามีประสิทธิภาพ ใช้ได้ผลจริง และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาครูและผู้เรียนอย่างยั่งยืน