รายงานผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice)
ระดับมัธยมศึกษา
ชื่อผลงาน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องฟังก์ชันกำลังสอง โดยใช้การจัด
กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ผู้เสนอผลงาน นางศราวดี ลูกอินทร์
ตําแหน่ง ครู
หน่วยงาน โรงเรียนสิงห์บุรี
สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง
๑. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ปัจจุบันผลจากการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ สังคม และสถานการณ์สังคม ส่งผลให้ทุกประเทศทั่วโลกกําหนดทิศทางการผลิตและพัฒนากําลังคนของประเทศให้มีทักษะและ สมรรถนะ ระดับสูง การจัดการศึกษาในปัจจุบันจึงต้องมุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมี ทักษะในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยทักษะที่เรียกตามคําย่อ ๆ ว่า 3Rs + BCs ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้ 3Rs ได้แก่ อ่านออก เขียนได้ และคิดเลขเป็น ส่วน BCs ได้แก่ ทักษะด้านการคิดอย่างมี วิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ทักษะด้านความ เข้าใจต่างวัฒนธรรม ทักษะด้านความร่วมมือทักษะด้านการสื่อสารทักษะด้านคอมพิวเตอร์เทคโนโลยี สารสนเทศ ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ ซึ่งการศึกษาที่ดีสําหรับคนยุคใหม่นั้น ไม่เหมือน การศึกษาเมื่อสิบหรือยี่สิบปีที่แล้ว การศึกษาที่มีคุณภาพจะต้องเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ไป ตามความถนัดของนักเรียน และบทบาทของครูก็ต้องเปลี่ยน กล่าวคือครูต้องเปลี่ยนบทบาทของ ตนเองจาก ครูสอน" ไปเป็น ครูฝึก และต้องเรียนรู้ทักษะในการทําหน้าที่โดยรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง (ปริยาภรณ์ ตั้งคุณานันต์, 2551, น. 77-78)
ในการสอนที่ผ่านมาพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำในเรื่องความสัมพันธ์และฟังก์ชัน และเรื่องที่จะต้องนำไปต่อยอดที่เจอบ่อยๆ คือเรื่องฟังก์ชันกำลังสอง จึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นที่นักเรียนจะต้องได้รับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ซึ่งพบว่านักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถแก้ปัญหาโจทย์ได้ อ่านโจทย์แล้วไม่เข้าใจ แสดงว่านักเรียนยังขาดทักษะในการคิดวิเคราะห์และการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ได้ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ตกต่ำ ดังนั้นครูควรหาวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม ในการพัฒนาการคิดวิเคราะห์และทักษะการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ให้สูงขึ้น วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับการสอนคณิตศาสตร์อีกวิธีหนึ่งคือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค TAI การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรายบุคคลหรือเทคนิค TAI เป็นวิธี สอนที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) กับการเรียนเป็นรายบุคคล (Individualization Instruction) เข้าด้วยกันเป็นวิธีการเรียนการสอนที่สนองความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยให้ผู้เรียนลงมือกระทํากิจกรรมการเรียนด้วยตนเองตามความสามารถจากแบบฝึกทักษะและส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม กําหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถต่างกันมาทํางานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยปกติจะมี 4 คน นักเรียนเก่ง 1 คน นักเรียนปานกลาง 2 คน และนักเรียนอ่อน 1 คน ผลการทดสอบของนักเรียนถูก แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ เป็นคะแนนเฉลี่ยทั้งกลุ่มและเป็นคะแนนรายบุคคล ในการทดสอบนักเรียนต่างคนต่างทํา แต่เวลาเรียนต้องร่วมมือกัน (Slavin, 1990, pp. 22-24) และศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย (2558, น. 142) กล่าวว่า TAI (Team Assisted Individualization) คือ วิธีการสอนที่ผสมผสาน ระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization) เข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทํากิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของตนและ ส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI มีข้อดีหลายประการ การเรียนแบบ TAI ช่วย
ให้เกิดแรงจูงใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถของตนเอง ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความช่วยเหลือ สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาเด็กอ่อนในห้องเรียนได้ สนองความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลได้เป็นอย่างดี เด็กที่เรียนช้ามีเวลาศึกษาและฝึกฝนเรื่องที่ไม่เข้าใจมากขึ้น และเด็กที่เรียนเร็วใช้เวลาศึกษาน้อยและมีเวลาไปทำอย่างอื่น เช่น ช่วยเหลือเพื่อนที่อ่อนในกลุ่ม ช่วยให้เกิดการยอมรับในกลุ่ม โดยเด็กเก่งยอมรับเด็กอ่อนและเด็กอ่อนเห็นคุณค่าของเด็กเก่ง ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในการสอนข้อเท็จจริงต่าง ๆทำให้ผู้สอนมีเวลาสร้างสรรค์งานสอน ปรับปรุงงานสอนมากขึ้น และมีเวลาที่จะช่วยสนับสนุนส่งเสริมเร้าความสนใจ หรืออภิปรายปัญหากับนักเรียนเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย ปลูกฝังนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคม มีการเสริมแรงให้เกิดขึ้นทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจ และความสนใจแก่ผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนเองมากขึ้นและทราบความก้าวหน้าของตนเองตลอดเวลา (นงลักษณ์ ระงับภัย. 2539 : 39-40)
ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงนําแนวทางการจัดกิจกรรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ
เทคนิคTAI มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่องฟังก์ชันกำลังสอง
๒. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เรื่องฟังก์ชันกำลังสอง
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ต่อการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI
เป้าหมาย
เป้าหมายเชิงปริมาณ : นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนสิงห์บุรี จำนวน 1ห้อง ร้อยละ 75 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด (ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม)
เป้าหมายเชิงคุณภาพ : นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
๓. ขั้นตอนการดำเนินงาน
. 3.1. วางแผนงาน ขั้นตอนการดำเนินงาน (PLAN)
1. วิเคราะห์ปัญหา
2. วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสิงห์บุรี ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2563 ในเรื่องของ มาตรฐานการเรียน และตัวชี้วัด ของเนื้อหา เรื่อง ฟังก์ชันกำลังสอง
3. ศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการกลุ่มเทคนิค TAI , วิธีการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจ
4. ดำเนินการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มเทคนิค TAI
5. ดำเนินการจัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง
ฟังก์ชันกำลังสอง
6. ดำเนินการจัดทำแบบสอบถามความพึงพอใจเกี่ยวกับการจัด การเรียนรู้โดยใช้
การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิคTAI
7. นำโครงร่างแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ และ แบบสอบถามความพึงพอใจ ไปให้ครูผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิชาคณิตศาสตร์ตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม พร้อมทั้งเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไข
3.2 การดำเนินงานตามกิจกรรม (DO)
ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามที่วางแผนไว้ดังนี้
1. ปฐมนิเทศนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ชี้แจงข้อตกลงเบื้องต้นในการเรียนการสอน
2 ดําเนินการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับกลุ่มตัวอย่างก่อนการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ โดยใช้การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
3. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้
การจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เรื่อง ฟังก์ชันกำลังสอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ตามสาระการเรียนรู้แต่ละเรื่องของการเรียนการสอนตามตารางสอนปกติ
4. เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ผู้วิจัยได้ดําเนินการทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับ
นักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบชุดเดิม
3.3 การประเมินผลการดำเนินงาน (CHECK)
1. วัดและประเมินผล
- เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ผู้วิจัยได้ดําเนินการทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยใช้
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องฟังก์ชันกำลังสอง จำนวน 20 ข้อกับนักเรียนกลุ่ม
ตัวอย่างด้วยแบบทดสอบชุดเดิม
- นำคะแนนของนักเรียนทั้งหมดมาหาค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
- เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน
2. แบบสอบถามความพึงพอใจจำนวน 10 ข้อ
- ให้นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้
การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เรื่อง ฟังก์ชันกำลังสอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เรื่องฟังก์ชันกำลังสอง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีหาค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยมีเกณฑ์ในการแปลความหมายของค่าคะแนนเฉลี่ย (สมบูรณ์ สุริยวงศ์, สมจิตรา เรืองศรี, และเพ็ญศรี เศรษฐวงศ์, 2544, หน้า 76) ดังนี้
ค่าเฉลี่ย 4.51 5.00 มีความพึงพอใจมากที่สุด
ค่าเฉลี่ย 3.51 4.50 มีความพึงพอใจมาก
ค่าเฉลี่ย 2.51 3.50 มีความพึงพอใจปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.51 2.50 มีความพึงพอใจน้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00 1.50 มีความพึงพอใจน้อยที่สุด
3.4 การปรับปรุงและพัฒนา
- หากมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน ใช้วิธีสอนเสริมและกระบวนการกลุ่ม
เทคนิค TAI อีกครั้งแล้วดำเนินการทดสอบใหม่จนกระทั่งนักเรียนมีผลการวัดประเมินผลผ่านเกณฑ์
๔. ผลการดำเนินการ/ผลลัพธ์/ประโยชน์ที่ได้รับ
4.1 ผลการดำเนินการ
เชิงปริมาณ : นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนสิงห์บุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง จำนวน 1ห้อง ร้อยละ 80 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด (ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม)
เชิงคุณภาพ : นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
4.2 ผลลัพธ์ของผู้เรียน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 เฉลี่ย 7.80 จากคะแนน 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 39.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) เท่ากับ 1.95 ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนเฉลี่ย 15.50 จากคะแนน 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 77.50 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) เท่ากับ 2.43 จากการทดสอบทั้งสองครั้งผลปรากฎว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 7.70 คิดเป็นร้อยละ 39.00 ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นหลังจากได้เรียนรู้กิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เป็นไปตามสมมติฐานที่วางไว้
4.3 ประโยชน์ที่ได้รับ
1 ผู้เรียนเกิดทักษะด้านการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองสร้างความภูมิใจให้กับผู้เรียน
นอกจากนี้หากผู้เรียนไม่เข้าใจตรงไหน สามารถขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่มที่เก่งกว่าให้อธิบายให้จนกระทั่งเกิดการเรียนรู้ที่ก้าวหน้าขึ้น และยังเป็นการสร้างความสามัคคีกันภายในกลุ่ม
2. ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์
3. ครูผู้สอนได้พัฒนาศักยภาพของตนเองด้วยการแสวงหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ
ออกแบบเทคนิคและวิธีการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถสร้างสื่อและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาอีกด้วย นอกจากนี้ยังเกิดประโยชน์กับเพื่อนครูคือช่วยแนะนำวิธีการสอนด้วยเทคนิคนี้ให้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในระดับชั้นอื่นๆ
4. ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียนสูงขึ้น
5. โรงเรียนได้รับศรัทธาความเชื่อมั่นจากผู้ปกครอง และชุมชนในการจัดการเรียน
การสอน
6. ชุมชนเกิดความเชื่อมั่น ศรัทธาในโรงเรียนจึงเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมสนับสนุน พัฒนาโรงเรียนให้ดีขึ้นไป
5. ปัจจัยความสำเร็จ
1. คณะผู้บริหารโรงเรียนสิงห์บุรี ให้การส่งเสริม สนับสนุน และให้กำลังใจกับครูและนักเรียนในการดำเนินการเป็นอย่างดี
2. ครูผู้สอนมีความพร้อมเตรียมการอย่างมีขั้นตอนตามแผนที่กำหนดไว้ มีกัลยามิตรที่ดีต่อผู้เรียนทำให้ผู้เรียนให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเป็นอย่างดี
๓. การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญและผสมผสานระหว่างการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือและแบบรายบุคคลเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เรียนตามความสามารถและความถนัดของตนเอง สำหรับผู้เรียนที่มีผลการเรียนอ่อน หรือเกิดการเรียนรู้ชา สามารถศึกษาด้วยตนเองได้ เมื่อไม่เข้าใจก็ให้ผู้เรียนที่เก่งกว่าช่วยอธิบายจนเกิดการเรียนและทำด้วยตนเองได้ สำหรับผู้เรียนที่เก่งเมื่อทำกิจกรรมเสร็จแล้วก็มีเวลาว่างพอที่จะช่วยอธิบายให้เพื่อนฟัง เกิดความสามัคคีในกลุ่ม
4. สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 เป็นนักเรียนที่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน และตั้งใจในการทำกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นอย่างดี
6. บทเรียนที่ได้รับ
1. ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะ ด้านการคิด แก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ มีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้
2. เป็นการกระตุ้นผู้เรียนได้แสดงความสามารถของตนก่อน เด็กที่มีผลการเรียนอ่อนได้ฝึกฝนในเรื่องที่ไม่เข้าใจและหากไม่ผ่านจะมีเพื่อนคอยช่วยเหลือจนกระทั้งผ่านเกณฑ์ได้
3. ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการช่วยเหลือกันในกลุ่ม
๗. การเผยแพร่
1. นําเสนอกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ให้แก่คณะครูโรงเรียนสิงห์บุรีไปปรับใช้ด้านการจัด การเรียนการสอน โดยการใช้สื่อการสอนหรือนวัตกรรมในการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพและมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยดึงดูดความสนใจของนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย
2. การเผยแพร่ ไปยังช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Facebook, Line เพื่อเป็นความรู้ให้แก่เพื่อนครูท่านอื่น ๆ
3. เผยแพร่ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) แก่ครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นอื่น ๆ
๘. บรรณานุกรม
นงลักษณ์ ระงับภัย. การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 3 เรื่องเศษส่วน ที่เรียนโดยวิธีสอนแบบกลุ่มร่วมมือกันเรียนรู้กับวิธีสอน
ตามปกติ. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2539
ปริยาภรณ์ ตั้งคุณานันต์. (2561), พื้นฐานการศึกษา, กรุงเทพฯ: มีนเซอร์วิส ซัพพลาย, ปรียา สถิระ
บุตร. (2558). การพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง การคูณ การหาร สําหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับการวาดรูปบาร์
วารสารวิจัยและประเมินผลอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย. (2558). วิธีสอนทั่วไป. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยลัยศิลปากร วิทยาเขต
พระราชวังสนามจันทร์
สมบูรณ์ สุริยวงศ์, สมจิตรา เรืองศรี และเพ็ญศรี เศรษฐวงศ์. (2544). ระเบียบวิธีวิจัยทางการศึกษา
กกกกกกก(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ.
Slavin, Robert E. (1990). Cooperative Leaming: Theory, Research and Practice. New
Jersey.Prentice-Hall.