บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง : การพัฒนารูปแบบการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบาย ด้านการศึกษา โรงเรียนบ้านทุ่งนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1
ผู้วิจัย : นายยิ่งยศ พละเลิศ ผู้อำนวยการ วิทยฐานะ ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านทุ่งนา
ปีการศึกษา : 2567
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ความต้องการ และแนวทางการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา โรงเรียนบ้านทุ่งนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 2) เพื่อสร้างและตรวจสอบรูปแบบการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา โรงเรียนบ้านทุ่งนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา โรงเรียนบ้านทุ่งนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา โรงเรียนบ้านทุ่งนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี วิธีการดำเนินงาน แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหาร แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนย่อย ดังนี้ ขั้นที่ 1.1 ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลจากเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ขั้นที่ 1.2 สอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและความต้องการ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียนที่อยู่ในกลุ่มโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี จำนวน 63 โรงเรียน ได้มาจากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของ Krejcie and Morgan และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลากแบบไม่ใส่คืน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและความต้องการการบริหารโรงเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นที่ 1.3 สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อศึกษา แนวทางการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 สร้างและตรวจสอบรูปแบบ แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนย่อย ดังนี้ ขั้นที่ 2.1 สร้างและพัฒนารูปแบบ นำผลการวิเคราะห์ จากขั้นตอนที่ 1 มาสร้างรูปแบบการบริหารและสร้างคู่มือการใช้รูปแบบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบร่างรูปแบบและร่างคู่มือการใช้รูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ขั้นที่ 2.2 ตรวจสอบรูปแบบ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเพื่อตรวจสอบรูปแบบ และแบบสอบถามเพื่อประเมินคู่มือการใช้รูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ ครูผู้สอนโรงเรียนบ้านทุ่งนา จำนวน 15 คน และนักเรียนโรงเรียนบ้านทุ่งนา จำนวน 134 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเพื่อประเมินระดับการปฏิบัติการบริหารโรงเรียน แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 4 ประเมินรูปแบบ แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนย่อย ดังนี้ ขั้นที่ 4.1 ประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนบ้านทุ่งนา จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเพื่อประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ในการนำไปปฏิบัติของการพัฒนารูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นที่ 4.2 การประเมินความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนบ้านทุ่งนา จำนวน 15 คน ผู้ปกครองของนักเรียน จำนวน 103 คน และนักเรียนโรงเรียนบ้านทุ่งนา จำนวน 103 คน รวมทั้งสิ้น 221 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ด้วยวิธีการจับฉลาก โดยใช้ตารางของ Krejcie and Morgan เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน ความต้องการและแนวทางการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา พบว่า องค์ประกอบของรูปแบบ ประกอบไปด้วย 5 ส่วน องค์ประกอบการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบ กระบวนการการบริหารสถานศึกษา มี 5 ขั้นตอน และทักษะชีวิตและทักษะอาชีพตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ประกอบไปด้วย 5 ด้าน ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการการบริหารโรงเรียน พบว่า สภาพปัจจุบันการบริหารโรงเรียนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ความต้องการการบริหารโรงเรียน ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และสภาพปัจจุบันการเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ความต้องการการเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
2. ผลการสร้างและตรวจสอบรูปแบบการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา พบว่า องค์ประกอบของรูปแบบ ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบดังนี้ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาสาระของรูปแบบ 4) วิธีการดำเนินงาน/กระบวนการของรูปแบบ และ 5) การวัดและประเมินผลของรูปแบบ องค์ประกอบการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การบริหารหลักสูตร 2) การบริหารทรัพยากร 3) การบริหารแบบมีส่วนร่วม 4) ความสัมพันธ์กับชุมชน และ 5) การบริหารงานบุคคล กระบวนกาการบริหารสถานศึกษา มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน ขั้นตอนที่ 2 การจัดองค์การ ขั้นตอนที่ 3 การปฏิบัติตามแผน ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผล ขั้นตอนที่ 5 การปรับปรุงแก้ไข แนวทางการประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของครู สามารถประเมินจาก1) ความรู้ในการจัดการเรียนรู้ 2) ทักษะในการจัดการเรียนรู้ 3) เจตคติที่มีต่อการจัดการเรียนรู้และทักษะชีวิตและทักษะอาชีพตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ประกอบไปด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1) ทักษะทางสังคม 2) ความยืดหยุ่นและการปรับตัว 3) ความคิดริเริ่มและเป็นผู้นำ 4) ทักษะการประกอบอาชีพ ตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา 5) ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา ผลการประเมินความถูกต้อง โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และผล การประเมินความเหมาะสม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา พบว่า ผลการประเมินระดับการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา โรงเรียนบ้านทุ่งนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 โดยรวมก่อนการพัฒนาอยู่ในระดับปานกลาง และหลังการพัฒนาอยู่ในระดับมากที่สุด และทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา โรงเรียนบ้านทุ่งนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
4. ผลการประเมินรูปแบบการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา พบว่า ผลการประเมินความเป็นไปได้ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการประเมินความเป็นประโยชน์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการประเมินความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการบริหารโรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ (พื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร) เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพของนักเรียนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
คำสำคัญ: การพัฒนารูปแบบ, โรงเรียนพื้นที่ลักษณะพิเศษ, ทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ, พระบรมราโชบายด้านการศึกษา