การพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ โดยใช้แบบฝึกอ่าน แม่ ก กา
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
The Development of Reading and Writing Skills of Grade 1 Students through the Use of the Mae Kor Kor Ka Reading Practice Book
สกาวรัตน์ เมืองจันทร์
โรงเรียนอนุบาลวัดบางนางบุญ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่าน และเขียนคำพื้นฐานภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2. เพื่อพัฒนาแบบฝึกอ่าน แม่ ก กาให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน โดยใช้นวัตกรรมแบบฝึกอ่านแม่ ก กาทางผู้วิจัยได้คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง การเลือกแบบเจาะจงภายในห้องเรียนชั้น ป.1 (Purposive Sampling) จากการสอนให้ห้องเรียนพบว่า นักเรียนมีทักษะการอ่านที่ไม่คล่องและมีพัฒนาการอ่านและเขียนที่ค่อนข้างช้า ผู้วิจัยเล็งเห็นปัญหานี้และต้องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ที่ดีขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองโดยดำเนินการ 4 ขั้นตอนคือ (1) ชี้ให้ชัดถึงความถูกต้องในการเขียน (2) ชักชวนให้ ปฏิบัติ (3) ปฏิบัติด้วยความเหมาะสม และ (4) สนุกสนานในการเรียน มีนิสัยรักการเขียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แบบฝึกหัดเขียนตามคำบอกมาตราตัวสะกดและ (2) แบบฝึกหัด ซึ่งสร้างแบบฝึกหัดโดยการศึกษาจากตำราและนำแบบฝึกอ่านแม่ ก กา มาทดลองใช้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยร้อยละจากการเขียนตามคำบอก เมื่อทำการเปรียบเทียบคะแนนก่อน-หลัง นักเรียนมีเกณฑ์คะแนนที่ดีขึ้นและเข้าใจ มีการพัฒนาการอ่านและเขียนคำ แม่ ก กา หลังเรียนของนักเรียนซึ่งผลสัมฤทธิ์จากการวิจัยนี้มีส่วนช่วยในการพัฒนาให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และพบว่า มีนักเรียนจำนวน 32 คน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 88.15
คำสำคัญ : ทักษะการอ่านและการเขียน , แม่ ก กา
บทนำ
การอ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพราะเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์ รวมทั้งเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง หากผู้เรียนขาดทักษะการอ่านและการเขียนที่ถูกต้อง จะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ในทุกวิชา ทำให้ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ได้กำหนดให้ ภาษาไทย เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เนื่องจากภาษาเป็นสื่อในการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ สื่อสาร และใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังเป็นรากฐานของการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอันดีงามของความเป็นไทย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 34)
อย่างไรก็ตาม จากผลการประเมินของกองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ (2546: 134) พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยของนักเรียนระดับประถมศึกษายังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะด้านการอ่านและการเขียน ซึ่งนักเรียนจำนวนมากประสบปัญหาในการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่สามารถสะกดคำหรือผันเสียงวรรณยุกต์ได้ถูกต้อง สาเหตุหนึ่งมาจากขาดการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับระดับพัฒนาการของผู้เรียน
จากการสังเกตของครูผู้สอนภาษาไทยในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ยังมีปัญหาในการอ่านออกเสียง การแจกลูกสะกดคำ การประสมคำ และการเขียนสะกดคำอย่างถูกต้อง ส่งผลให้การเรียนรู้โดยรวมเป็นไปอย่างล่าช้า การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ สนุกสนาน และมีส่วนร่วมในการฝึกทักษะอย่างสม่ำเสมอ แบบฝึกอ่าน แม่ ก กา เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่มีความเหมาะสมกับผู้เริ่มเรียน เนื่องจากช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการออกเสียง การผันเสียง และการสะกดคำตามหลักภาษาไทยอย่างเป็นระบบ ผ่านการเรียนรู้จากง่ายไปยาก ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของการเรียนรู้ของเด็กระดับประถมศึกษาปีที่ 1
ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะดำเนินการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกอ่าน แม่ ก กา เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านและการเขียนของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ของผู้เรียนต่อไปในระดับชั้นที่สูงขึ้น และสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน
ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2. เพื่อพัฒนาแบบฝึกอ่าน แม่ ก กา ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน
วิธีดำเนินการวิจัย
การศึกษาในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้นวัตกรรมแบบฝึกอ่าน แม่ ก กา และคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง ดังนี้ 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา2568 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งหมด 32 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนอนุบาลวัดบางนางบุญ อำเภอเมือง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งหมด 32 คน ซึ่งผู้วิจัยเลือกมาทั้งหมด 2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1. สมุดเล่มเล็ก แบบฝึกทักษะการอ่านคำในแม่ ก กา ที่มีทุกสระ คละกัน ในเล่มจะประกอบด้วยแบบฝึกอ่านทั้งหมด 14 ชุด ชุดละ 20 คำ ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้ฝึกปฏิบัติด้านการอ่านและการเขียน จำนวน 14 ชุด 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางด้านการอ่านและการเขียนคำพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา การดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการพัฒนาการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้นวัตกรรมแบบฝึกอ่านแม่ ก กา ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนอนุบาลวัดบางนางบุญ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งหมด 32 คน ใช้เวลาในการดำเนินการ 4 สัปดาห์ ไม่รวมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยมีลำดับขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 1. ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 30 ข้อ กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 2. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ ระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้บันทึกคะแนนการทำกิจกรรมกลุ่มและการทำแบบฝึกทักษะไว้ทุกครั้ง 3. เมื่อดำเนินการสอนครบทุกแผนแล้วทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบชุดเดิมกับก่อนเรียน 4. การเก็บรวบรวมเครื่องมือ ผู้วิจัยดำเนินการศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้โดยใช้แบบฝึกอ่าน แม่ ก กา ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 โดยเริ่มจากการวางแผนจัดทำแบบทดสอบและชุดการสอน จากนั้นให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทำแบบทดสอบก่อนเรียน (เขียนตามคำบอก 40 คำ) แล้วจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบฝึกอ่าน แม่ ก กา เมื่อสิ้นสุดการสอนจึงทำการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบลักษณะเดียวกัน ผลคะแนนก่อนและหลังเรียนถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย และค่าร้อยละ โดยกำหนดเกณฑ์ผ่านที่ร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม เพื่อประเมินประสิทธิภาพของแบบฝึกและพัฒนาการด้านการอ่านเขียนของนักเรียน 5. การวิเคราะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ และ ค่าเฉลี่ย เพื่อวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและพัฒนาการด้านการอ่านเขียนของนักเรียน โดยอ้างอิงสูตรการคำนวณจาก บุญชม ศรีสะอาด (2545:104) และ เพ็ญนภา คำมีแก่น (2553:66) ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่ถูกต้องและสมบูรณ์ในการสรุปผลการวิจัย
ผลการวิจัย
ผลการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ โดยใช้แบบฝึกอ่าน แม่ ก กา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนอนุบาลวัดบางนางบุญ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1 จำนวน 32 คน นักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 88.15 ซึ่งสูงกว่าสมมุติฐานที่ตั้งไว้
การอภิปรายผล
จากการศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ โดยใช้แบบฝึกอ่าน แม่ ก กา และแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ให้นักเรียนการเขียนตามคำบอกอภิปรายผลการวิจัยได้ดังนี้
นักเรียนจำนวน 32 คน สามารถเขียนได้และมีความเข้าใจในมาตราตัวสะกดแม่ ก กา และมีทักษะการอ่านและเขียนที่ดีขึ้น ซึ่งนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 95 จากการแบบทดสอบการเขียนคำตามคำบอก จากก่อนเรียนในการทดสอบครั้งแรกได้ คิดเป็นร้อยละ 48.23 โดยหลังจากใช้แบบฝึกอ่านแม่ ก กา พบว่านักเรียนทุกคนสามารถอ่านและเขียนคำในแม่ ก กา ได้อย่างถูกต้องและสามารถพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนได้ดียิ่งขึ้น คิดเป็นร้อยละ 88.15
ข้อเสนอแนะ
1. ควรเพิ่มเวลาในการสอนและเสริมกิจกรรมให้นักเรียนสนใจมากขึ้น
2. ควรเสริมสร้างให้นักเรียนเป็นคนสนใจในเรื่องการอ่าน
เอกสารอ้างอิง
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2544). การสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
พิสมัย บุญสอด. (2553). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องอักษรควบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดย ใช้แบบฝึกทักษะประกอบกลุ่มร่วมมือแบบ STAD (ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตร และการสอน). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี.
ลำเทียน อุตมา. (2554). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำตามมาตราตัวสะกดกลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย. น่าน: โรงเรียนบ้านม่วงเจริญราษฎร์.