ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
Advertisement

ภาวะผู้นำแบบบริการ : ทักษะที่จำเป็นต่อการบริหารการศึกษาในศตวรรษที่ 21 The Servant Leadership Model: Essential Skills for Educational Management in the 21st Century

บทคัดย่อ

การพัฒนาการศึกษาในศตวรรษที่ 21 คือบทบาทของผู้บริหารหรือผู้นำ มีผลชี้ขาดต่อความสำเร็จหรือล้มเหลว ขององค์กร ภาวะผู้นำแบบบริการเป็นปรัชญาการเป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับการบริการและส่งเสริมการเติบโตของผู้อื่น โดยเป็นการนำที่ไม่ยึดติดกับอัตตาอย่างแท้จริง ผู้นำแบบบริการจะให้ความสำคัญกับพนักงานและองค์กรมากกว่า ตำแหน่งหรือความต้องการด้านอีโก้ของตนเอง ผู้นำแบบบริการจะเป็นผู้รับฟังผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างตั้งใจ มีความเห็นอก เห็นใจ และพยายามเสริมสร้างพลังให้สมาชิกในทีม มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความสำคัญกับเสริมสร้างความไว้วางใจ การทำงานร่วมกัน ความมุ่งมั่นในทีม และการพัฒนาตนเองเป็นสิ่งสูงสุด รวมถึงส่งเสริมบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ลักษณะสำคัญของผู้นำแบบบริการ แบ่งออกเป็น 7 ข้อ ประกอบด้วย 1) การให้ความสำคัญกับผู้อื่นก่อนเสมอ 2) การฟัง และการเข้าใจผู้อื่น 3) การส่งเสริมการเติบโตและการพัฒนาศักยภาพ 4) การสร้างความร่วมมือและการทำงานเป็นทีม

5) ความซื่อสัตย์และการเป็นแบบอย่างที่ดี 6) การกระจายอำนาจและการให้อิสระในการตัดสินใจ 7) การสร้างวิสัยทัศน์ และแรงบันดาลใจ จากการนำแนวคิดผู้นำแบบบริการมาใช้ พบว่าแนวคิดนี้ช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จในระยะยาว และส่งเสริมการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นอกจากนี้ แนวคิดนี้ยังส่งผลต่อการเสริมสร้างความสามารถในการ ปรับตัวและการพัฒนาความยืดหยุ่นของบุคลากร (Hunter et al., 2013) จากการวิเคราะห์องค์ประกอบย่อยและ ประมวลสรุปเป็นคุณลักษณะ สำคัญของภาวะผู้นำแบบรับใช้กับการบริหารในยุควิถีใหม่ ประกอบด้วย 9 ด้าน ดังนี้ 1) การบริหารจัดการ (Stewardship) 2) การแบ่งปันวิสัยทัศน์และมองการณ์ไกล (Share Vision and Foresight) 3) การ เสริมอำนาจ (Empowerment) 4) ความเห็นอกเห็นใจและการสร้างชุมชนเป็นครอบครัว (Empathy and Building community as family) 5) ความอ่อนน้อมถ่อมตนและการโน้มน้าวจิตใจ (Humility and Persuasion) 6) การทำในสิ่ง ที่ถูกต้อง (Doing the right things) 7) การเสียสละเพื่อผู้อื่น (Altruism) 8) ความตระหนักรู้ จริยธรรม และศีลธรรม (Awareness, Ethics and Morals) 9) การมุ่งมั่นในการพัฒนาคนและส่งเสริมความก้าวหน้า (Commitment and Support as standing back) เรียบเรียงให้สวยงาม

คำสำคัญ : ภาวะผู้นำแบบบริการ, ผู้นำแบบบริการ, การบริหารการศึกษา, ศตวรรษที่ 21

Absrack

The development of education in the 21st century is fundamentally shaped by the role of leadership, which can determine the success or failure of an organization. Servant leadership is a leadership philosophy that emphasizes service and fosters the growth of others. It is leadership that genuinely transcends ego, focusing more on the well-being of employees and the organization than on one’s position or personal ego needs. A servant leader listens attentively to subordinates, demonstrates empathy, and strives to empower team members. The leader focuses on creating an environment that prioritizes trust-building, collaboration, team commitment, and personal development, while also promoting a positive work atmosphere.Key characteristics of servant leadership can be broken down into seven key points : 1) Prioritizing others’ needs before one’s own. 2) Listening and understanding others. 3) Encouraging growth and the development of potential.

4) Fostering collaboration and teamwork. 5) Integrity and setting a good example. 6) Delegating authority and providing autonomy in decision-making. 7) Creating a vision and inspiring others. The application of servant leadership principles has been found to significantly contribute to long-term organizational success and enhances the efficiency of teamwork. Furthermore, this leadership approach positively influences the adaptability and resilience of personnel (Hunter et al., 2013).

Upon analyzing the components and summarizing the essential characteristics of servant leadership in modern management, the following nine aspects emerge : 1) Stewardship – Responsible management and care for the organization’s resources. 2) Share Vision and Foresight – Sharing a vision and having foresight to guide the future. 3) Empowerment – Empowering others to make decisions and take initiative.m4) Empathy and Building Community as Family – Demonstrating empathy and fostering a community-like atmosphere within the organization. 5) Humility and Persuasion – Leading with humility and persuasion rather than authority and control. 6) Doing the Right Things – Acting with integrity and always doing what is morally right. 7) Altruism – Selflessly serving the needs of others.

8) Awareness, Ethics, and Morals – Maintaining awareness and upholding ethical and moral standards. 9) Commitment and Support as Standing Back – Committing to the development of others and offering support while stepping back to let them succeed. In summary, servant leadership presents a comprehensive and effective model for leadership in the modern era, where empathy, integrity, and empowerment create a nurturing environment for growth and success.

Keywords : Servant Leadership, Servant Leader, Educational Management, 21st Century

บทนำ

ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม และ การศึกษาที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนและรวดเร็ว การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลโดยตรง ต่อความสำเร็จในการพัฒนาองค์กร สิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาการศึกษาในศตวรรษที่ 21 คือบทบาทของผู้บริหารหรือ ผู้นำ ซึ่งมีผลชี้ขาดต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร การที่องค์กรจะประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติของผู้นำในองค์กร ว่าเป็นผู้นำแบบไหน ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ ทั้งนี้ เพราะผู้นำที่ดีจะพัฒนา ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ตาม ขององค์กรนั้นได้ เมื่อผู้นำดี บุคลากรดี ก็จะส่งผลให้การทำงานนั้นประสบผลสำเร็จในทุก ด้าน รวมทั้งการจัดการศึกษาด้วยเช่นกัน ในยุคปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความสุขภาวะผู้นำของพนักงาน และป้องกันภาวะหมดไฟจนกลายเป็นสิ่งที่ผู้บริหารและองค์กรให้ความสำคัญเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะผู้นำแบบ ใฝ่ บริการซึ่งเน้นการก้าวไปข้างหน้าและดูแลทีมงานสารสนเทศ เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงค่าแก่การศึกษาเพื่อให้องค์กรเรียนรู้ และนำไปใช้ประโยชน์เพื่อความอยู่รอดและประสบความสำเร็จ

ภาวะผู้นำแบบบริการเป็นปรัชญาการเป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับการบริการและส่งเสริมการเติบโตของผู้อื่น โดยเป็นการนำที่ไม่ยึดติดกับอัตตาอย่างแท้จริง ผู้นำแบบบริการจะให้ความสำคัญกับพนักงานและองค์กรมากกว่า ตำแหน่งหรือความต้องการด้านอีโก้ของตนเอง ผู้นำแบบบริการจะเป็นผู้รับฟังผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างตั้งใจ มีความเห็นอก เห็นใจ และพยายามเสริมสร้างพลังให้สมาชิกในทีม มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความสำคัญกับเสริมสร้างความไว้วางใจ การทำงานร่วมกัน ความมุ่งมั่นในทีม และการพัฒนาตนเองเป็นสิ่งสูงสุด

"คุณสมบัติสำคัญของผู้นำแบบใฝ่บริการคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การส่งเสริมการพัฒนาของผู้ตาม การรับฟัง การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การปฏิบัติตนอย่างมีจริยธรรม และการส่งเสริมความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน มีแนวคิด ว่า เมื่อความต้องการและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ตามได้รับการให้ความสำคัญ พวกเขาจะสามารถบรรลุเป้าหมายของตนได้ ซึ่งจะสะท้อนกลับขึ้นมาสู่การบรรลุเป้าหมายของผู้นำและองค์กรในที่สุด" (Canavesi & Minelli, 2022 : 414)

ภาวะผู้นำในปัจจุบันควรมีลักษณะของ “ภาวะผู้นำแบบบริการ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ซับซ้อนและประกอบด้วย แง่มุมที่หลากหลาย (Parris & Peachey, 2013; van Dierendonck, 2011; Winston and Fields, 2015) โดย Russell & Stone (2002) ได้ชี้ให้เห็นว่าภาวะผู้นำแบบนี้สามารถส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งในระดับบุคคลและองค์กร นักวิชาการหลายท่านยังได้ศึกษาผู้นำแบบบริการนี้ในมิติต่าง ๆ ทั้งในบริบทส่วนบุคคลและบริบทองค์กร (Hunter et al., 2013) แนวคิดนี้ถูกยอมรับว่าเป็นปรัชญาและเครื่องมือในการเสริมสร้างองค์กรและสังคม โดยมีบทบาทในการสร้างจิตใจ

และแรงบันดาลใจให้แก่บุคลากรภายในองค์กร เพื่อให้เกิดความตั้งใจในการทำงานร่วมกัน โดยไม่ใช้วิธีการบังคับ แต่ มุ่งเน้นการเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านคุณธรรมและการมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำและผู้ตาม รวมถึงการส่งเสริม บรรยากาศการทำงานที่ดี (สุภาพร ถาวรวัชรกุล, 2558) ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและผู้ตามในผู้นำแบบบริการมี โครงสร้างแนวราบ โดยผู้นำจะอยู่ในตำแหน่งกลางเพื่อสนับสนุนการทำงานของทุกคนในทีม ใช้ความรู้ในการช่วยพัฒนา ความสามารถของบุคลากรผ่านการมอบอำนาจที่ทำให้ผู้นำทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการ ในแนวคิดนี้ความสำเร็จขององค์กร จะขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมและความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำและผู้ตาม (วงศกร สิงหวรวงศ์, 2561) สำหรับผู้บริหาร

สถานศึกษาที่นำแนวคิดนี้มาใช้ จะให้ความสำคัญและตระหนักถึงคุณค่าของผู้ร่วมงาน พร้อมทั้งให้การสนับสนุนและใส่ใจ ในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีภายในองค์กร ซึ่งจะส่งเสริมให้การทำงานเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ทางบวกต่อตัวนักเรียน (อภิชาติ อนันตภักดิ์, 2558)

ความหมายภาวะผู้นำแบบบริการ

ภาวะผู้นำแบบบริการ(Servant Leadership) เป็นแนวคิดการบริหารที่ริเริ่มโดย Robert K. Greenleaf ในปี 1970 โดยเขาเสนอว่าผู้นำควรให้ความสำคัญกับการ “รับใช้” ผู้ตามก่อนการแสวงหาผลประโยชน์ของตนเองหรือองค์กร เขากล่าวว่า ผู้นำแบบบริการคือบุคคลที่มีแรงจูงใจหลักในการทำให้ชีวิตของผู้ตามดีขึ้นและพัฒนาชุมชนหรือองค์กร การ เป็นผู้รับใช้ของคนอื่นๆ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งในระดับบุคคลและองค์กร ซึ่งเน้นว่าผู้นำที่ดีต้องมุ่งมั่นใน การรับใช้และพัฒนาคนในองค์กร โดยยึดหลักการที่ว่าผู้นำควรเป็นผู้รับใช้ก่อนที่จะเป็นผู้นำ และตั้งเป้าหมายหลักในการ เสริมสร้างศักยภาพของผู้ตาม รวมถึงการส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าและความสุขของบุคลากร มากกว่าการแสวงหา ผลประโยชน์ส่วนตน (Greenleaf, 1977) แนวคิดนี้ได้ขยายตัวเป็นที่ยอมรับในด้านการบริหารองค์กรและการศึกษา โดย ถือเป็นการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้และการพัฒนาร่วมกัน (Parris & Peachey, 2013)

Larry Spears (1995) ได้ขยายแนวคิดของ Greenleaf โดยระบุว่า ผู้นำแบบบริการมีคุณลักษณะ 10 ประการ ที่จำเป็น เช่น การฟัง การเห็นอกเห็นใจ การรักษาความสัมพันธ์ และการสร้างชุมชน โดยผู้นำแบบบริการต้องรับฟังผู้ตาม และมีความเข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับความต้องการและความรู้สึกของบุคลากร การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ และความไว้วางใจในองค์กร

Russell and Stone (2002) ได้ศึกษาและจำแนกลักษณะของผู้นำแบบบริการออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ องค์ประกอบหลัก เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การมุ่งมั่นพัฒนาผู้ตาม และการมีจริยธรรมที่ดี และองค์ประกอบสนับสนุน เช่น การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างความไว้วางใจ และการเป็นแบบอย่างที่ดี คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้ผู้นำสร้าง สภาพแวดล้อมที่สนับสนุนและส่งเสริมการเติบโตของผู้ตามได้อย่างยั่งยืน

Parris and Peachey (2013) กล่าวว่าภาวะผู้นำแบบบริการคือทฤษฎีการบริหารที่ผู้นำมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผู้ตาม และให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของบุคลากรในองค์กร พวกเขามองว่าผู้นำแบบบริการเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการ สร้างความผูกพันของบุคลากรต่อองค์กร ลดอัตราการลาออก และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทั้งในระดับบุคคลและระดับ ทีมงาน

Hunter และคณะ (2013) ได้เสริมว่า ผู้นำแบบบริการสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อผู้ตามและองค์กรโดยการสร้างแรง บันดาลใจให้ผู้ตามรู้สึกถึงคุณค่าและบทบาทของตนเอง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความจงรักภักดีและการทุ่มเทต่อองค์กร นอกจากนี้ พวกเขายังเห็นว่าแนวคิดผู้นำแบบบริการเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตรและมี ความสุขในการทำงาน

Van Dierendonck (2011) กล่าวว่าผู้นำแบบบริการมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้ตาม เขา เน้นว่าผู้นำแบบบริการต้องมีคุณลักษณะเช่น การอุทิศตน การรับฟัง และความซื่อสัตย์ เพื่อให้เกิดการสร้างแรงจูงใจและ การพัฒนาที่มีความหมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตทั้งทางด้านอาชีพและส่วนบุคคลของผู้ตาม

Laub (2004, อ้างถึงใน ปองภพ ภูจอมจิตร, 2555 : 125) ได้กล่าวว่า ผู้นำแบบบริการคือการที่ผู้นำให้ ความสำคัญกับความต้องการของผู้อื่นเหนือผลประโยชน์ส่วนตน สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม โดยปฏิบัติอย่าง ตรงไปตรงมาและเพิ่มคุณค่าในการพัฒนาผู้อื่น อีกทั้งแสดงออกถึงภาวะผู้นำที่ตอบสนองต่อความต้องการร่วมกันของทุก คนในกลุ่ม พร้อมทั้งส่งเสริมการกระจายอำนาจ

ในนิยามของผู้นำแบบบริการ หลายมิตินี้ยังครอบคลุมถึงการให้ความสำคัญในเรื่องวิสัยทัศน์ของผู้นำ คุณธรรม จริยธรรม และการปกป้องดูแล (Guardianship) รวมถึงการสร้างความร่วมมือ (Engagement Building) ในการทำงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน

สรุปได้ว่า ภาวะผู้นำแบบบริการ หมายถึง พฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่มุ่งมั่นในการให้บริการแก่ ผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้รับบริการ โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ใช้พลังทางศีลธรรมเป็นเครื่องมือในการ กระตุ้นความร่วมมือและความไว้วางใจ สร้างบรรยากาศการกระจายอำนาจในองค์กร เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายร่วมกัน อย่างมีประสิทธิภาพและสำเร็จ

ลักษณะสำคัญของผู้นำแบบบริการ

1. การให้ความสำคัญกับผู้อื่นก่อนเสมอ

ผู้นำแบบบริการเน้นการให้บริการและดูแลผู้อื่นเหนือประโยชน์ส่วนตน โดยคำนึงถึงความต้องการและความ เป็นอยู่ของผู้ตามก่อนเสมอ ซึ่งส่งผลให้เกิดความไว้วางใจและความผูกพันในองค์กร (Greenleaf, 1977) 2. การฟังและการเข้าใจผู้อื่น

ผู้นำแบบบริการมีความสามารถในการฟังความคิดเห็นและความรู้สึกของบุคลากร รวมถึงเข้าใจความต้องการ และปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้นำสามารถตอบสนองและแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม (Spears, 1995) 3. การส่งเสริมการเติบโตและพัฒนาศักยภาพ

ผู้นำแบบบริการมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร โดยสนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และการ พัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บุคลากรมีความพร้อมและความมั่นใจในการทำงาน (Russell & Stone, 2002) 4. การสร้างความร่วมมือและการทำงานเป็นทีม

ผู้นำแบบบริการส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการมีส่วนร่วมจากทุกคนในองค์กร ผู้นำกระตุ้นให้เกิดความ ร่วมมือและบรรยากาศที่เปิดกว้าง ทำให้บุคลากรรู้สึกมีคุณค่าและมีบทบาทสำคัญต่อเป้าหมายร่วมกันขององค์กร (Laub, 2004)

5. ความซื่อสัตย์และการเป็นแบบอย่างที่ดี

ผู้นำแบบบริการแสดงออกถึงความซื่อสัตย์และยึดมั่นในหลักคุณธรรม ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่บุคลากร ส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานที่โปร่งใสและสร้างความไว้วางใจในองค์กร (Liden et al., 2008) 6. การกระจายอำนาจและการให้อิสระในการตัดสินใจ

ผู้นำแบบบริการมุ่งเน้นการกระจายอำนาจ โดยเปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ซึ่งช่วยให้ บุคลากรรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของและมีความรับผิดชอบต่อผลงานของตนเอง (Hunter et al., 2013) 7. การสร้างวิสัยทัศน์และแรงบันดาลใจ

ผู้นำแบบบริการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและสามารถสื่อสารเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุคลากร ผู้นำมีบทบาท

ในการนำพาองค์กรสู่เป้าหมายที่วางไว้ โดยทำให้บุคลากรเห็นความสำคัญของบทบาทของตนเองและรู้สึกมีแรงจูงใจใน การทำงาน (Van Dierendonck, 2011)

ผลลัพธ์ของการนำแนวคิดผู้นำแบบบริการมาใช้

งานวิจัยพบว่าผู้นำแบบบริการช่วยเสริมสร้างความผูกพันของบุคลากรต่อองค์กร ลดอัตราการลาออก และ ส่งเสริมความพึงพอใจในงาน (Parris & Peachey, 2013) การนำแนวคิดนี้มาใช้ยังช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับบุคลากร และทำให้เกิดบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตร ผลลัพธ์นี้ช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จในระยะยาว และส่งเสริมการ ทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นอกจากนี้ แนวคิดนี้ยังส่งผลต่อการเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวและการ พัฒนาความยืดหยุ่นของบุคลากร (Hunter et al., 2013)

ข้อดีและความท้าทายในการใช้ผู้นำแบบบริการในองค์กร

1. ข้อดีของการใช้ผู้นำแบบบริการ

1.1 เสริมสร้างความผูกพันของบุคลากรกับองค์กร

ผู้นำแบบบริการให้ความสำคัญกับการรับฟังและการเข้าใจความต้องการของบุคลากร ส่งเสริมให้ พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและผูกพันกับองค์กร ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออกและเพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน (Parris & Peachey, 2013)

1.2 พัฒนาศักยภาพและความสามารถของบุคลากร

ผู้นำแบบบริการมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร ช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าและความรู้ที่จำเป็นในการ ทำงาน ส่งผลให้บุคลากรมีความสามารถและมีความเชื่อมั่นในการทำงาน ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมได้ดียิ่งขึ้น (Russell & Stone, 2002)

1.3 ส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่ดีและความไว้วางใจ

การให้บริการและสนับสนุนจากผู้นำช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจในองค์กรและสร้างบรรยากาศที่เปิด กว้างในการทำงาน ส่งเสริมการสื่อสารที่ดีและทำให้การทำงานเป็นทีมเกิดประสิทธิภาพ (Hunter et al., 2013) 1.4 สร้างแรงบันดาลใจและความจงรักภักดี

ผู้นำแบบบริการมีบทบาทสำคัญในการเป็นแบบอย่างด้านคุณธรรมและจริยธรรม ทำให้ผู้ตามเกิดแรง บันดาลใจและเกิดความจงรักภักดีต่อผู้นำและองค์กร ส่งผลให้บุคลากรมีความกระตือรือร้นในการทำงานเพื่อเป้าหมาย ขององค์กร (Greenleaf, 1977)

2. ความท้าทายในการใช้ผู้นำแบบบริการ

2.1 ต้องใช้เวลาในการปรับโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กร

การนำผู้นำแบบบริการมาใช้ในองค์กรอาจต้องการการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เนื่องจากบาง องค์กรมีโครงสร้างที่มุ่งเน้นอำนาจและการควบคุม ซึ่งอาจขัดกับแนวคิดของผู้นำแบบบริการที่เน้นความสัมพันธ์แบบเท่า เทียมและการมีส่วนร่วม (Liden et al., 2008)

2.2 ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการจัดการความหลากหลายของบุคลากร

ผู้นำแบบบริการจำเป็นต้องเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกันของบุคลากร ซึ่งเป็น

สิ่งที่ต้องใช้ทักษะในการสื่อสารและการจัดการบุคคลอย่างสูง ผู้นำจำเป็นต้องมีความสามารถในการสร้างความไว้วางใจ และการฟังที่ดี เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจและสนับสนุนบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.3 เกิดความไม่ชัดเจนในบทบาทของผู้นำและผู้ตาม

แนวคิดผู้นำแบบบริการที่ผู้นำมีบทบาทเป็นผู้ให้บริการแทนการใช้อำนาจ อาจทำให้เกิดความไม่ ชัดเจนในบทบาทหน้าที่ระหว่างผู้นำและผู้ตามได้ บุคลากรบางคนอาจรู้สึกขาดทิศทางหรือไม่เข้าใจในโครงสร้างการ บริหารใหม่ หากไม่มีการสื่อสารที่ชัดเจน (Russell & Stone, 2002)

2.4 อาจใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้นในระยะเริ่มต้น

เนื่องจากผู้นำแบบบริการต้องใส่ใจและพัฒนาบุคลากร ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้นในการ ฝึกอบรม การสนทนาเชิงลึก และการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง ซึ่งในระยะสั้นอาจมีความท้าทายเรื่องการใช้ทรัพยากร และการประเมินผลสำเร็จ (Parris & Peachey, 2013)

องค์ประกอบสำคัญของภาวะผู้นำแบบบริการ

ศรุติพงศ์ ภูวัชร์วรานนท (2567) ได้วิเคราะห์องค์ประกอบย่อยและประมวลสรุปเป็นคุณลักษณะ สำคัญของ ภาวะผู้นำแบบรับใช้กับการบริหารในยุควิถีใหม่ ประกอบด้วย 9 ด้าน ดังนี้

1. การบริหารจัดการ (Stewardship) : มีความเต็มใจที่จะรับใช้และรับผิดชอบต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ คือ เป็น ผู้นำที่มีความ ยินดีและรับใช้ผู้อื่นด้วยความเต็มใจ แสดงออกด้วยความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งปราศจากการถูกบังคับด้วย ตำแหน่ง หรือบทบาทหน้าที่ มีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองในการปฏิบัติงานในหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยมี มาตรฐาน วิชาชีพเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยเป็นเครื่องมือชี้วัดถึงการปฏิบัติงานตามแนวทางที่ถูกต้อง มีการแสวงหา แนวทางใหม่ และกลยุทธ์ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น การปรับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบใหม่ให้มีลักษณะ ผสมผสาน (Blended Learning) การเสริมทักษะการเรียนรู้เพื่อลดปัญหาภาวะ Learning Loss รวมถึง การสร้างความ รับผิดชอบต่อ สังคมที่ถือว่าเป็นทักษะที่ควรสอนและเสริมให้เกิดขึ้น หากสังคมใดมีคนที่มีความรับผิดชอบอยู่ในสังคมนั้น มาก สังคมนั้น ย่อมมีความสงบสุขและเจริญก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว เรียบเรียงใหม่

2. การแบ่งปันวิสัยทัศน์และมองการณ์ไกล (Share Vision and Foresight) : กำหนดวิสัยทัศน์ร่วม มอง ภาพในเชิงองค์รวมตามความเป็นจริง ปัจจุบันและเห็นความเป็นไปได้ในอนาคต คือ เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ มีระบบคิดของการ ทำงานอย่างเป็นระบบ มองการณ์ไกล มองให้กว้างและหลากหลายมิติ เพื่อขับเคลื่อนหรือพัฒนาองค์กรให้ประสบ ผลสำเร็จ รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ บนฐานคิดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีข้อมูลพร้อม ทันสมัย เหมาะสมกับสถานการณ์ใน ปัจจุบันและเพียงพอเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างมีเหตุ มีผล มีการวางแผน อย่างเป็นระบบ ใช้หลักการ PDCA เพื่อให้การทำงานมีกระบวนการที่ชัดเจน มีวิธีการโน้มน้าวให้คล้อยตาม และใช้การ ฟังอย่างมีประสิทธิภาพร่วมด้วย รวมถึงการ แลกเปลี่ยนแนวคิดในบรรยากาศแบบพี่น้อง ซึ่งอาจจะช่วยให้ได้แนวคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นในที่ทำงาน และเป้าหมายชัดเจนร่วม รอบคอบ รอบด้านมากยิ่งขึ้น

3. การเสริมอำนาจ (Empowerment) : การกระจายอำนาจการบริหารตามบทบาทหน้าที่ และส่งเสริมการ ทำงานให้เต็ม ตามศักยภาพของบุคคล คือ เป็นการมอบอำนาจและกระจายความรับผิดชอบในการตัดสินใจและการ ดำเนินการให้แก่ ผู้ปฏิบัติงานในระดับต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม มีการวางแผน กำหนดแนวคิดและดำเนินการร่วมกันอย่าง

เป็นระบบ โดยอยู่บนความเชื่อใจ ไว้ใจกันในการทำงาน มีการเสริมพลังอำนาจการทำงานให้กับผู้ตาม มีการกำหนด บทบาทหน้าที่ชัดเจน มีการจัดการเวลา (Time Management) ในการทำงานที่เป็นเครื่องมือของความสำเร็จในงานตาม ระยะเวลาที่กำหนด ลดปัญหาความสับสนในการทำงาน และเป็นการสร้างระเบียบวินัยในการทำงาน รวมถึงผู้นำต้องกล้า คิด กล้าตัดสินใจ กล้าที่นำนวัตกรรมใหม่ ๆ เทคนิคใหม่ เข้ามาใช้ในองค์กรเพื่อการเปลี่ยนแปลงตามวิถีปกติใหม่ ทั้งนี้การ กล้าตัดสินใจบางอย่าง อาจรวมถึง การที่ผู้นำจะต้องตัดสินใจลงโทษแก่บุคคลที่ไม่ตั้งใจหรืออาจทำให้องค์กรเสียหายด้วย ความจงใจตามหลักความยุติธรรมและความเสมอภาคด้วย

4. ความเห็นอกเห็นใจและการสร้างชุมชนเป็นครอบครัว (Empathy and Building community as family) : ความเห็นอกเห็นใจ และสร้างชุมชนให้มีบรรยากาศของครอบครัว คือ การสร้างสัมพันธภาพที่ดีให้เกิดขึ้นกับ ทีมงานในองค์กรของตนบนพื้นฐานของความเข้าอก เข้าใจ ใช้การรับฟังเหตุและผลประกอบการคิดและตัดสิน มีการ แสดงออกถึงความจริงใจในการร่วมแก้ไขสถานการณ์ ปัญหาต่าง ๆ เสมือนเหตุการณ์นั้นเป็นหนึ่งในปัญหาของตนที่ต้อง ร่วมกันแก้ไขปัญหา การสร้างทางเลือก หรือแนวทางของการแก้ปัญหาที่เป็นระบบ มีเหตุ มีผลและใช้ความรู้เป็นฐานคิด ของทางเลือกในการแก้ปัญหานั้น ๆ อย่างเหมาะสม เป็นการเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีในองค์กร มีการบรรยากาศที่ทำให้

การทำงานมีความสบายใจ ปลอดภัย และดูแลซึ่งกันและกันเหมือนอยู่ที่บ้านที่ทุกคนต่างมีหน้าที่ มีความรับผิดชอบในการ ทำงานตามบทบาทหน้าที่ของตน โดยมีผู้นำแบบรับใช้คอยสอดส่องดูแล ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำและคอยสนับสนุน ให้ กำลังใจแก่ทีมงานเสมอและเชื่อมั่นว่า คนในครอบครัวจะช่วยทำให้บ้าน (ที่ทำงาน/องค์กร) ของตนเองเป็นบ้านที่น่าอยู่

5. ความอ่อนน้อมถ่อมตนและการโน้มน้าวจิตใจ (Humility and Persuasion) : ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการจูงใจโน้มน้าว ด้วยกิริยาวาจาสุภาพ มีมนุษยสัมพันธ์ดี และเลือกใช้วจีให้เหมาะสมกับสถานการณ์ คือ คุณลักษณะของความเป็นผู้นำที่เป็นกัลยาณมิตร มีบุคลิกที่น่าคบหา เลือกใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาที่เหมาะสมกับ สถานการณ์ ซึ่งจะสอดคล้องกับการเป็นผู้นำแบบ รับใช้ที่ควรจะใช้ทั้งศาสตร์ทางการบริหารงานเพื่อสำเร็จขององค์กร และควรใช้ศิลป์ในการแสดงออกของผู้นำที่จะชักจูง โน้มน้าวให้บุคคลเห็นคล้อยตามสิ่งที่กำลังพูดหรือกำลังทำ ซึ่งเป็นการ ทำลายกำแพงความสัมพันธ์ที่อาจจะเป็นบ่อเกิด ของความขัดแย้งลงได้ง่าย ใช้การโน้มน้าว พูดคุยกับผู้ที่ยังมีความเคลือบ แคลงสงสัยในวิธีการทำงานของผู้นำ ดึงบุคคลเหล่านั้น เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงาน อย่างเต็มตามศักยภาพ อันจะช่วย ทำให้บรรยากาศองค์กรมีความสงบสุข และสง่างาม

6. การทำในสิ่งที่ถูกต้อง (Doing the right things) : ยึดมั่นในความถูกต้องและมีมาตรฐานในการทำงาน คือ การมีแนวนโยบาย ที่ชัดเจนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในองค์กรเพื่อก้าวหน้า และความสำเร็จในงาน โดยเฉพาะแนวทางของ การสร้างสุขภาวะที่ดีงามในการทำงาน ได้แก่ การยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงาน การใช้ มาตรฐานเป็นเครื่องมือ วางแนวทางการปฏิบัติตามทิศทางขององค์กร คำนึงถึงผลประโยชน์ขององค์กรเป็นสำคัญ มี แนวทางพัฒนาคนในองค์กรอย่างมีเป้าหมาย และผู้นำแบบรับใช้ควรสร้างยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ

องค์กร เพื่อให้องค์กรมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง นำพาองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

7. การเสียสละเพื่อผู้อื่น (Altruism) : ความไม่เห็นแก่ตัว ความเสียสละของผู้นำ เป็นพลังให้การทำงานมี ประสิทธิภาพ คือ การเป็นผู้รู้จักการแบ่งปันให้แก่บุคคลอื่นที่ควรให้ด้วยความเต็มใจ ทั้งกำลังกาย เช่น การช่วยเหลือผู้อื่น ในการทำงาน โดยที่ไม่ต้องร้องขอให้ช่วย แต่ทำด้วยความเข้าใจ เต็มใจ และไม่นิ่งดูดายเมื่อเห็นว่า ผู้อื่นต้องการความ ช่วยเหลือ การแสดงออกทางวาจาที่ผู้นำแบบรับใช้ควรแสดงออก ซึ่งสามารถทำได้บ่อยครั้ง คือ การให้ความเห็นหรือกล้า

ที่จะให้ ข้อเสนอแนะ ข้อสังเกตต่าง ๆ ที่จะช่วยแก้ปัญหาเดือดร้อนแก่ผู้อื่น นอกจากนี้แล้ว ผู้นำแบบรับใช้ควรมีการ จัดการเวลา เพื่อประโยชน์แก่การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ อันได้แก่ การเสียสละเวลาส่วนตัว ความสุขส่วนตัว ความสุขที่ควรเกิดขึ้นในครอบครัว มาใช้เวลาเพื่อทุ่มเทและอุทิศตนในการทำงาน ในบางครั้ง การทำงานล่วงเวลาของผู้นำ แบบรับใช้ จะทำโดยไม่ได้คำนึงถึงค่าตอบแทน หรือคาดหวังคำชื่นชม ไม่ได้คำนึงถึงเวลาราชการ แต่จะทำงานด้วย ความรู้สึกเต็มใจ มองถึงมิติของความมีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ และมีความสุข

8. ความตระหนักรู้ จริยธรรม และศีลธรรม (Awareness, Ethics and Morals) : ตระหนักรู้คู่คุณธรรม จริยธรรม คือ การรับรู้และหมั่นทำความ เข้าใจความรู้สึก อารมณ์ และความต้องการของตนเอง ตลอดจนพึงนึกถึงผลที่ เกิดขึ้นกับบุคคลอื่นอยู่เสมอ พึงทบทวน และตรวจสอบความเข้าใจตนเอง ยอมรับในจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนา เพื่อให้ เห็นถึงคุณค่าทั้งต่อตนเองและผู้อื่นให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตระหนักและรู้จักในบทบาท หน้าที่ของตนเอง และควร

ประพฤติ ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดีงาม ซึ่งหากผู้นำได้มีการฝึกการตระหนักรู้อยู่เสมอ จะช่วยให้การทำงานร่วมกับผู้อื่นดี ขึ้น สามารถควบคุมตัวเอง ความคิดและพฤติกรรมเพื่อให้แสดงออกได้อย่างเหมาะสม รวมถึง ช่วยให้สามารถวางแผนชีวิต และจัดสรรเวลาได้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและอารมณ์ของตัวเอง การนำหลักคุณธรรมมาใช้ในการทำงาน ควบคู่กับ การอยู่ในแนวทางจริยธรรมของสังคมที่ดีงามถูกต้อง จะช่วยส่งเสริมในเรื่องการมีจิตสำนึกแห่งความเที่ยงธรรม การ ทำงานที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงมีหลักเกณฑ์ที่เป็นเกณฑ์ร่วมกัน เข้าใจตรงกัน จะเป็นการลดข้อกังขาต่างๆ ลงได้ด้วย ข้อมูลที่เป็นจริง กล้ายืนหยัดในความถูกต้อง

9.การมุ่งมั่นในการพัฒนาคนและส่งเสริมความก้าวหน้า (Commitment and Support as standing back) : มุ่งมั่นพัฒนาคน และส่งเสริมความก้าวหน้า ของผู้ตามตามศักยภาพของบุคคล ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน คือ การเป็นแบบอย่างแห่งการพัฒนาตน มุ่งความสำเร็จของงาน ด้วยการทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถอย่างเต็มใจและ มีความสุข แสดงออกถึงความมุ่งมั่น ที่จะทำงานเพื่อรับใช้องค์กรให้สำเร็จ มีความจริงใจที่มีพลังที่จะทำให้ผู้ตามเชื่อว่า ผู้นำยินดีในความสำเร็จที่เกิดจากการ ทำงานของผู้ตามเอง เป็นความเชื่อใจในความสามารถ อันจะเป็นการผลักดันให้ผู้ ตามเจริญก้าวหน้าในความคิด ระบบการทำงาน และมีเป้าหมายเพื่อความสำเร็จขององค์กรอย่างเดียวกัน ผ่านการเป็น

โค้ช (Coach) และพี่เลี้ยง (Mentor) การร่วมลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังร่วมกันจะเป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ที่ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงได้ดี ผู้นำแบบรับใช้ควรให้ข้อมูลป้อนกลับเชิงบวกกับผู้ตาม ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเป็นบุคคลที่มี คุณค่า อันจะมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของผู้ตามโดยตรง

ผลลัพธ์ของการนำแนวคิดผู้นำแบบบริการมาใช้ในการบริหารการศึกษา

การนำแนวคิดผู้นำแบบบริการมาใช้ในการบริหารการศึกษานั้นส่งผลดีต่อการบริหารการศึกษาในหลายด้าน ดังนี้

1) พัฒนาความสัมพันธ์ในองค์กร

การนำแนวคิดผู้นำแบบบริการมาใช้ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้นำและผู้ตาม โดยการฟังและให้ ความสำคัญกับความต้องการของบุคลากรและนักเรียน การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและสร้างความไว้วางใจภายใน องค์กร ส่งผลให้การสื่อสารและความร่วมมือในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2) เพิ่มความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบ

ผู้นำที่มีการมอบหมายภารกิจอย่างชัดเจนและให้การสนับสนุนผู้ตามทำให้บุคลากรและนักเรียนมีความ รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น โดยไม่รู้สึกกดดันจากอำนาจหรือการบังคับ ซึ่งช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และ แรงจูงใจในการทำงาน

3) การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร

ผู้นำแบบบริการมักให้การสนับสนุนการพัฒนาทักษะและศักยภาพของบุคลากรในองค์กร โดยการฝึกอบรม การให้คำแนะนำ และการทำหน้าที่เป็นโค้ช ซึ่งช่วยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาเติบโตในสายอาชีพและสามารถ พัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้น

4) การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี

การใช้ผู้นำแบบบริการช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการเรียนการสอน ส่งเสริมการเรียนรู้ที่เป็นมิตร ซึ่งทำให้ มีแรงจูงใจในการเรียนรู้และช่วยให้นักเรียนรู้สึกมีส่วนร่วมและสนุกกับการเรียนมากขึ้น

5) ผลลัพธ์ทางการศึกษาและการบริหารที่ดีกว่า

การกระจายอำนาจและมอบอำนาจให้กับผู้ที่มีส่วนร่วมในการบริหารการศึกษาช่วยให้การตัดสินใจเป็นไป อย่างมีส่วนร่วม ส่งผลให้การบริหารจัดการของโรงเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการบรรลุเป้าหมายทางการศึกษา ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

6) ความยั่งยืนในการพัฒนาองค์กร

ผู้นำแบบบริการที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้ตามและส่งเสริมความก้าวหน้าของบุคลากรช่วยสร้างความยั่งยืนในการ พัฒนาองค์กรการศึกษา โดยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทสรุป

การนำแนวคิดผู้นำแบบบริการมาใช้ในการบริหารการศึกษานั้นส่งผลดีต่อหลายด้าน โดยเฉพาะในการสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการศึกษา ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน และยังเป็นการส่งเสริมให้ เกิดความร่วมมือที่ดีระหว่างผู้นำ บุคลากร และนักเรียน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและ ยั่งยืน โดยการเน้นการฟัง การสนับสนุน และการมอบอำนาจให้กับทุกฝ่าย ทำให้เกิดความมั่นใจและความร่วมมือในการ บรรลุเป้าหมายการศึกษาที่ต้องการ.

เอกสารอ้างอิง

ธีระดาภิญโญ. (2562). ภาวะผู้นําแบบใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต3 จังหวัดนนทบุรี.วารสารปัญญาภิวัฒน์. 11(1).207-220.

ภณิดา ชูช่วยสุวรรณ, วิชิต แสงสว่าง. (2564). ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบรับใช้ของผู้บริหารสถานศึกษา กับการ มีส่วนร่วมของครูในการบริหารจัดการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 1. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย, 13(2), 356 – 370.

มารุต ศักดิ์แสงวิจิตร, ทิวัตถ์ มณีโชติ. (2564). ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ของผู้บริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ ความมุ่งมั่นในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2. วารสารครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 49(1), 1 – 18.

ยอดขวัญ พินิจพงศ์และโสภณ เพ็ชรพวง. (2566). ภาวะผู้นําใฝ่บริการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการทํางานเป็นทีมของครูใน โรงเรียนเอกชนอําเภอเมืองนครราชสีมา.วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์. 10(5).223-232.

วริศรา ตู้จินดา. (2566). ภาวะผู้นําแบบใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานครเขต1.วารสารนิติรัฐ. 1(1).13-22.

ศิรินทิพย์เพ็งสง. (2563). ภาวะผู้นําใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พัทลุงเขต1.บัณฑิตวิทยาลัย :มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี.

Greenleaf, R. K. (1977). Servant leadership: A journey into the nature of legitimate power and greatness. Paulist Press.

Russell, R. F., & Stone, A. G. (2002). A review of servant leadership attributes: Developing a practical model. Leadership & Organization Development Journal, 23(3), 145-157.

Parris, D. L., & Peachey, J. W. (2013). A systematic literature review of servant leadership theory in organizational contexts. Journal of Business Ethics, 113(3), 377-393.

Hunter, E. M., Neubert, M. J., Perry, S. J., Witt, L. A., Penney, L. M., & Weinberger, E. (2013). Servant leaders inspire servant followers: Antecedents and outcomes for employees and the organization. The Leadership Quarterly, 24(2), 316-331.

Liden, R. C., Wayne, S. J., Zhao, H., & Henderson, D. (2008). Servant leadership: Development of a multidimensional measure and multi-level assessment. The Leadership Quarterly, 19(2), 161-177.

โพสต์โดย อัลวานี : [20 พ.ย. 2568 (12:13 น.)]
อ่าน [56673] ไอพี : 101.51.106.62
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
Advertisement

 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 20,730 ครั้ง
อวสาน อ.ก.ค.ศ. โดย อดิศร เนาวนนท์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
อวสาน อ.ก.ค.ศ. โดย อดิศร เนาวนนท์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

เปิดอ่าน 28,643 ครั้ง
สอนทำ header hi5 ด้วย photoshop
สอนทำ header hi5 ด้วย photoshop

เปิดอ่าน 10,522 ครั้ง
ตกยกชาติ
ตกยกชาติ

เปิดอ่าน 20,062 ครั้ง
คู่มือการปฏิบัติงานคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา
คู่มือการปฏิบัติงานคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา

เปิดอ่าน 604 ครั้ง
4 โครงการทาวน์โฮมพร้อมอยู่ในทำเลดัง มีหลายช่วงราคาให้เลือก
4 โครงการทาวน์โฮมพร้อมอยู่ในทำเลดัง มีหลายช่วงราคาให้เลือก

เปิดอ่าน 11,463 ครั้ง
งานหนักมาก เหนื่อย ทำอย่างไรดี
งานหนักมาก เหนื่อย ทำอย่างไรดี

เปิดอ่าน 57,542 ครั้ง
กระบี่ กระบอง
กระบี่ กระบอง

เปิดอ่าน 933 ครั้ง
ต่อเติมกันสาดอย่างไรให้บ้านสวยและใช้งานได้จริง
ต่อเติมกันสาดอย่างไรให้บ้านสวยและใช้งานได้จริง

เปิดอ่าน 65,524 ครั้ง
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือบน E-Learning
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือบน E-Learning

เปิดอ่าน 45,514 ครั้ง
เผยแพร่เอกสารและคลิปสาธิตเทคนิคการคิดเลขเร็วแบบอินเดีย (เวทคณิต)
เผยแพร่เอกสารและคลิปสาธิตเทคนิคการคิดเลขเร็วแบบอินเดีย (เวทคณิต)

เปิดอ่าน 24,093 ครั้ง
อาถรรพณ์..สุวรรณภูมิ 12 พญายักษ์..ส่งพลังร้าย
อาถรรพณ์..สุวรรณภูมิ 12 พญายักษ์..ส่งพลังร้าย

เปิดอ่าน 9,612 ครั้ง
5เทคนิคสุขภาพดีสำหรับคุณแม่ที่ยุ่งตลอดเวลา
5เทคนิคสุขภาพดีสำหรับคุณแม่ที่ยุ่งตลอดเวลา

เปิดอ่าน 38,009 ครั้ง
แผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2559 สพฐ.
แผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2559 สพฐ.

เปิดอ่าน 24,522 ครั้ง
คลิปครูเต้น-รวมเพลงเด็กในตำนาน ของ ร.ร.บางมดฯ
คลิปครูเต้น-รวมเพลงเด็กในตำนาน ของ ร.ร.บางมดฯ

เปิดอ่าน 12,124 ครั้ง
ทำไมจึงตื่นเต้นกันนักหนาเมื่อญี่ปุ่นค้นพบ แหล่งแร่โลหะหายาก ที่เกาะมินามิโตริ โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
ทำไมจึงตื่นเต้นกันนักหนาเมื่อญี่ปุ่นค้นพบ แหล่งแร่โลหะหายาก ที่เกาะมินามิโตริ โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

เปิดอ่าน 16,638 ครั้ง
นโยบายสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีงบประมาณ พ.ศ.2558
นโยบายสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีงบประมาณ พ.ศ.2558
เปิดอ่าน 133,819 ครั้ง
เล่นฮูลาฮูป ลดน้ำหนักได้จริงหรือ?
เล่นฮูลาฮูป ลดน้ำหนักได้จริงหรือ?
เปิดอ่าน 13,561 ครั้ง
ปฏิรูปการศึกษา : มุ่งการขยายโครงสร้าง คือเลือกทางสู่ความล้มเหลว โดย ประเสริฐ ตันสกุล
ปฏิรูปการศึกษา : มุ่งการขยายโครงสร้าง คือเลือกทางสู่ความล้มเหลว โดย ประเสริฐ ตันสกุล
เปิดอ่าน 20,735 ครั้ง
ตู้เก็บเอกสาร ในห้องเรียนมีประโยชน์อย่างไร
ตู้เก็บเอกสาร ในห้องเรียนมีประโยชน์อย่างไร
เปิดอ่าน 8,703 ครั้ง
หนี้การศึกษา
หนี้การศึกษา

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
ติวสอบ GED
ติวสอบ SAT
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ