การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics
เพื่อแก้ไขปัญหาการอ่านออกเสียงคำศัพท์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
1. ความเป็นมาและความสำคัญของการพัฒนานวัตกรรม
ในการศึกษา เรื่องการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics เพื่อแก้ไขปัญหาการอ่านออกเสียงคำศัพท์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดป่าข่อยใต้ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงขึ้น ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงาน ตามหัวข้อดังต่อไปนี้
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
2. การออกเสียงภาษาอังกฤษตามหลักภาษาศาสตร์
3. การอ่านออกเสียงสะกดคำ
4. หลักในการจัดทำแบบฝึกทักษะ
5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2. วัตถุประสงค์ของการพัฒนานวัตกรรม
1) เพื่อศึกษาผลการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics
2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics
3. ขอบเขตการศึกษา (เนื้อหา/กลุ่มป้าหมาย/ระยะเวลา)
1) เนื้อหา
เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ จำนวน 2 เล่ม คือ เล่มที่ 1 การออกเสียงตัวอักษรในภาษาอังกฤษ เป็นการอ่านถอดเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษตั้งแต่ A-Z ตามแนว Phonics และเทียบเคียงเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษและภาษาไทย เล่มที่ 2 สระภาษาอังกฤษเสียงสั้น เป็นการถอดเสียงสระเสียงสั้น A E I O U เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกผสมเสียงเป็นคำศัพท์หรือสะกดคำศัพท์ และฝึกออกเสียงให้ถูกต้องตามแนว Phonics
2) กลุ่มเป้าหมาย
การศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้แก้ไขปัญหาทักษะการอ่านออกเสียงสะกดคำภาษาอังกฤษที่เป็นปัญหา สำหรับนักเรียน ซึ่งมีขอบเขตของการศึกษา ดังนี้
- ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดป่าข่อยใต้ อำเภอเมือง จังหวัด เชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 17 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดป่าข่อยใต้ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2565 จำนวน 17 คน โดยใช้กลุ่มตัวอย่างนักเรียนทั้งหมด
3) ระยะเวลา
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ปีงบประมาณ 2565
4. กรอบแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรม
ในการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics เพื่อแก้ไขปัญหาการอ่านออกเสียงคำศัพท์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาด้านการอ่านออกเสียงคำศัพท์ของนักเรียน พบว่า คนไทยนั้นมีปัญหามากมายในการออกเสียงภาษาอังกฤษ เนื่องมาจากความ แตกต่างระหว่างระบบเสียงภาษาอังกฤษกับระบบเสียงภาษาไทย ดังนั้นการที่จะให้ผู้เรียนสามารถ ออกเสียงได้ถูกต้องใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาและป้องกันมิให้ผู้เรียนออกเสียงผิดจึงควรสร้าง พื้นฐานและปลูกฝังลักษณะนิสัยในการออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจนตั้งแต่เด็กในระยะเริ่มต้นหรือ ประถมศึกษา (จีรนันท์ เมฆวงษ์,2547 : 2) ซึ่งวิธีการจัดการเรียนรู้ที่นิยมใช้ คือการอ่านออกเสียง สะกดคำ (Phonics) เป็นหลักการถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตัวอักษร ผู้เรียนจะต้องเข้าใจเสียง ของตัวอักษรต่างๆและออกเสียงเหล่านั้นให้ได้อย่างถูกต้องจึงจะสามารถผสมเสียงออกมาเป็นคำได้ เช่น คำว่า cat จะสอนให้รู้จักตัวcจากเสียงของมันคือเสียงค ตัวa เป็นเสียงแอะ และตัว t เป็นเสียงท มาผสมเสียงกันเป็น ค-แอะ-ท แคท (ดวงใจ ตั้งสง่า, 2555-2556)
ตัวแปรต้นคือ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics ตัแปรตามคือผลการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
4. สรุปผลการวิจัย
1) ผลการประเมินคุณภาพของแบบฝึกทักษะในด้านความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC : Index of item objective congruence) โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน สรุปได้ดังนี้
เมื่อพิจารณาแต่ละข้อคำถาม พบว่า ข้อที่ 1 ด้านความถูกต้องเหมาะสม ของเนื้อหาที่ใช้ มีค่าเฉลี่ย 1.00 มีความสอดคล้องกับเนื้อหา ส่วนข้อคำถามที่ 2 และ 3 ด้านความเหมาะสมของคำศัพท์ที่ใช้กับระดับของผู้เรียนและความเหมาะสมของรูปแบบการใช้ตัวอักษรรูปภาพมีค่าเฉลี่ย 1.00 ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนด แสดงว่าเหมาะสมและนำไปใช้ได้ และเมื่อพิจารณา ในภาพรวมของแบบฝึกทักษะ พบว่ามีค่า 1.00 ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนดแสดงว่าสามารถนำไปใช้ได้
2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน หลังเรียน
หลังจากที่ทดสอบนักเรียนด้านการอ่านออกเสียงสะกดคาโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียนแล้วปรากฏผลดังนี้
การทดสอบก่อนเรียนนักเรียนสามารถอ่านออกเสียงสะกดคำได้เฉลี่ย 4.11 คะแนนจากคะแนนเต็ม 40 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 10.29 มีค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 2.29 และเมื่อทำการทดสอบหลังเรียนนักเรียนสามารถอ่านออกเสียงได้เฉลี่ย 23.41 คะแนนคิดเป็น ร้อยละ 56.17 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 9.20 ทั้งนี้ผลต่างของค่าคะแนนทั้งสองครั้งเฉลี่ย 19.29 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 7.52 แสดงว่าหลังจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะแล้ว นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงสะกดคำที่ดีขึ้น
1) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะ
นักเรียนที่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ด้านแบบฝึกแต่ละกิจกรรมมีความต่อเนื่องในด้านเนื้อหา อยู่ที่ร้อยละ 94.11 ด้านนักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจการออกเสียงสระเสียงสั้นในภาษาอังกฤษและสามารถออกเสียงได้ถูกต้องตามแนวโฟนิกส์ อยู่ที่ร้อยละ 82.35 ด้านคำชี้แจงในการทำแบบฝึกทักษะเข้าใจง่าย นักเรียนสามารถปฏิบัติตามได้ ด้านนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจการออกเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษและสามารถออกเสียงได้ถูกต้องตามแนวโฟนิกส์ และด้านนักเรียนเห็นว่าแบบฝึกช่วยให้นักเรียนสามารถอ่านและเขียนคำศัพท์ได้ถูกต้อง อยู่ที่ร้อยละ 87.95 ตามลำดับ
สามารถสรุปในภาพรวมได้ว่า จำนวนนักเรียนร้อยละ 85.88 มีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics อยู่ในระดับมาก จำนวนนักเรียนร้อยละ 11.76 มีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics อยู่ในระดับปานกลาง และจำนวนนักเรียนร้อยละ 2.36 มีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics อยู่ในระดับปานน้อย
จากผลสรุปดังกล่าว ผู้วิจัยได้ตั้งสมมุติติฐานไว้ว่า นักเรียนร้อยละ 80 มีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก ดังนั้น ถือว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics ในครั้งนี้
5. อภิปรายผลการวิจัย
จากที่ทดสอบนักเรียนด้านการอ่านออกเสียงสะกดคำโดย ใช้แบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียนแล้วปรากฏผลดังนี้
จากตารางที่ 6 แสดงให้เห็นว่าในการทดสอบก่อนเรียนนักเรียนสามารถอ่านออกเสียงสะกดคำได้เฉลี่ย 4.11 คะแนนจากคะแนนเต็ม 40 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 10.29 มีค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 2.29 และเมื่อทำการทดสอบหลังเรียนนักเรียนสามารถอ่านออกเสียงได้เฉลี่ย 23.41 คะแนนคิดเป็น ร้อยละ 56.17 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 9.20 ทั้งนี้ผลต่างของค่าคะแนนทั้งสองครั้งเฉลี่ย 19.29 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 7.52 แสดงว่าหลังจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะแล้ว นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงสะกดคำที่ดีขึ้น
ดังนั้นหลังจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะในแต่ละเล่มแล้ว นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงสะกดคำภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการ อ่านออกเสียงสะกดคำภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยคะแนนการทดสอบการอ่านออกเสียง หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดป่าข่อยใต้ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวนนักเรียนที่ตอบแบบประเมินทั้งหมด 17 คน เมื่อพิจารณาตามข้อแล้ว สามารถสรุปได้ดังนี้
นักเรียนที่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ด้านแบบฝึกแต่ละกิจกรรมมีความต่อเนื่องในด้านเนื้อหา อยู่ที่ร้อยละ 94.11 ด้านนักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจการออกเสียงสระเสียงสั้นในภาษาอังกฤษและสามารถออกเสียงได้ถูกต้องตามแนวโฟนิกส์ อยู่ที่ร้อยละ 82.35 ด้านคำชี้แจงในการทำแบบฝึกทักษะเข้าใจง่าย นักเรียนสามารถปฏิบัติตามได้ ด้านนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจการออกเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษและสามารถออกเสียงได้ถูกต้องตามแนวโฟนิกส์ และด้านนักเรียนเห็นว่าแบบฝึกช่วยให้นักเรียนสามารถอ่านและเขียนคำศัพท์ได้ถูกต้อง อยู่ที่ร้อยละ 87.95 ตามลำดับ
สามารถสรุปในภาพรวมได้ว่า จำนวนนักเรียนร้อยละ 85.88 มีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics อยู่ในระดับมาก จำนวนนักเรียนร้อยละ 11.76 มีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics อยู่ในระดับปานกลาง และจำนวนนักเรียนร้อยละ 2.36 มีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics อยู่ในระดับปานน้อย
จากผลสรุปดังกล่าว ผู้วิจัยได้ตั้งสมมุติติฐานไว้ว่า นักเรียนร้อยละ 80 มีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก ดังนั้น ถือว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษตามแนว Phonics ในครั้งนี้
3. ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม
1) ข้อเสนอแนะทั่วไป
ด้านเนื้อหา ครูสามารถปรับปรุงและประยุกต์ใช้คำศัพท์ได้จากบทเรียนปกติ หรือแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ ที่เหมาะสมกับระดับชั้นของนักเรียนได้อย่างหลากหลาย
เนื่องจากมีปัญหาอุปสรรคมากมาย เพราะนักเรียนส่วนมาก เป็นกลุ่มปานกลางและอ่อนที่มีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ความรู้พื้นฐาน ระดับสติปัญญา ความใฝ่รู้ใฝ่เรียน และเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ดังนั้นครูต้องใช้เวลาเพิ่มเติมในการสอน ซ่อมเสริมนักเรียนรายบุคคล นอกจากนี้นักเรียนส่วนมากยังขาดทักษะการออกเสียงพยัญชนะบางเสียงที่ไม่มีหรือแตกต่างจากภาษาไทย และการออกเสียงพยัญชนะท้ายคำ เนื่องจากความเคยชินใน การใช้ภาษาแม่
ผู้ศึกษาจึงเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงของ นักเรียนให้ดีขึ้น การอ่านออกเสียงสะกดคำเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการอ่านใน ระดับสูง
ดังนั้นเมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้และทดสอบไปแล้ว แต่นักเรียนยังอ่านไม่ได้ ครูควรทำการสอนซ่อมเสริมนักเรียนเป็นรายบุคคล โดยอาจจะใช้เวลามากหรือน้อยแตกต่างกันไป
2) ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป
ควรมีการศึกษาและพัฒนาเกี่ยวกับเนื้อหาต่างๆที่สำคัญ เพื่อเพิ่มเนื้อหาที่ยากขึ้นให้กับนักเรียนในระดับที่สูงขึ้น ดังนี้
- การออกเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษที่เป็นปัญหาสำหรับนักเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาในการจัดการเรียนการสอน หรือเพื่อศึกษาเป็นกรณีตัวอย่าง
- การออกเสียงพยัญชนะท้ายคำ เนื่องจากนักเรียนเป็นปัญหามากสำหรับคนไทย เพราะในภาษาไทยไม่มีการออกเสียงพยัญชนะท้ายคำ
- สระเสียงยาว
- พยัญชนะผมและสระผสม
- การอ่านออกเสียงประโยค เพื่อให้นักเรียนนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน