การดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกสถานศึกษาต้องดำเนินการอย่างมีระบบและต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนได้รับการดูแลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรม และสังคม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ให้ความสำคัญกับการ คุ้มครองและดูแลความปลอดภัยของนักเรียนในทุกมิติ และมุ่งเน้นสถานศึกษาให้เป็น พื้นที่ปลอดภัยและเป็นสุข โดยเฉพาะตามโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งเน้นทักษะชีวิต ความปลอดภัย และสุขภาวะที่ดีของผู้เรียน (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๖๕)
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กำหนดนโยบายให้ทุกสถานศึกษาดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเข้มแข็ง โดยประกอบด้วยการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การคัดกรอง การส่งเสริม การป้องกันแก้ไข และการส่งต่อ โดยเน้นให้ครูทุกคนมีส่วนร่วมและใช้ข้อมูลสารสนเทศเป็นฐานในการวางแผนดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ (สพฐ., ๒๕๖๕) สำหรับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง-กระบี่ ได้กำหนดนโยบายเร่งรัดสถานศึกษาให้จัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่รัดกุม เน้นความปลอดภัยในสถานศึกษา การพัฒนาทักษะชีวิต การป้องกันเหตุความรุนแรง การละเมิดสิทธิเด็ก และการป้องกันยาเสพติดและพฤติกรรมเสี่ยงในวัยรุ่น (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง-กระบี่, ๒๕๖๕) นโยบายนี้สะท้อนถึงความจำเป็นของโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดตรังและกระบี่ที่ต้องเผชิญกับปัญหาความหลากหลายทางสังคม เศรษฐกิจ และครอบครัวของผู้เรียน ทำให้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นกลไกสำคัญในการปกป้อง ดูแล และเสริมสร้างโอกาสการเรียนรู้ให้เด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๖๕)
จากการศึกษางานวิจัยหลายฉบับ เช่น งานวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสถาบันศึกษาทางการศึกษา พบว่า ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีประสิทธิภาพต้องมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การมีข้อมูลรายบุคคลที่ถูกต้อง การคัดกรองอย่างเป็นระบบ การมีเครือข่ายความร่วมมือ และการติดตามช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง (สกว., ๒๕๖๕) การทำงานเชิงรุกและความร่วมมือจากผู้ปกครอง ชุมชน และหน่วยงานภายนอกจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการลดปัญหาพฤติกรรม ความเสี่ยง และส่งเสริมความปลอดภัยให้แก่ผู้เรียน (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, ๒๕๖๐)
เมื่อพิจารณาบริบทของ โรงเรียนเขาดินประชานุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กในชุมชนกึ่งชนบท มีนักเรียนที่มาจากครอบครัวฐานะยากจน ครอบครัวแตกแยก ผู้ปกครองทำงานนอกพื้นที่ และมีนักเรียนจำนวนหนึ่งต้องอาศัยอยู่กับปู่ย่าตายาย ทำให้การดูแลใกล้ชิดในครอบครัวมีข้อจำกัด ส่งผลต่อการเรียน การปรับตัว และพฤติกรรมของนักเรียน นอกจากนี้ ยังพบปัญหาด้านความปลอดภัยในเส้นทางเดินทางไปกลับโรงเรียน ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต ความเครียด และการใช้สื่อออนไลน์ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ แม้โรงเรียนจะมีการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามนโยบายมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น การใช้ข้อมูลยังไม่เป็นระบบเดียวกัน การขาดเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงให้เห็นภาพชัดเจน การขาดการประสานงานที่เป็นเอกภาพระหว่างครู ผู้ปกครอง และชุมชน รวมถึงการตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ซึ่งมักต้องอาศัยการช่วยเหลือแบบเร่งด่วนและสหวิชาชีพ ทำให้เกิดความจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาระบบที่ครบวงจร ยืดหยุ่น และเหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนขนาดเล็ก
จากสภาพปัญหาและข้อจำกัดดังกล่าว โรงเรียนเขาดินประชานุกูล จึงได้พัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยการใช้ KP-CARE MODEL ซึ่งเป็นโมเดลที่ออกแบบมาเพื่อให้การดูแลนักเรียนมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนขนาดเล็กในชุมชนกึ่งชนบท โดยการใช้โมเดลนี้จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีระบบ ประกอบด้วย K - Knowledge (ความรู้) การเสริมสร้างความรู้ให้กับครูและบุคลากรในการใช้ข้อมูลสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์ปัญหาของนักเรียนอย่างถูกต้อง และการใช้เครื่องมือในการคัดกรองที่มีความแม่นยำ เพื่อให้สามารถเข้าถึงปัญหาของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างรวดเร็ว P - Participation (การมีส่วนร่วม) เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและติดตามการพัฒนานักเรียน โดยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียน, ผู้ปกครอง, และหน่วยงานภายนอก C - Care (การดูแล) การดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด โดยการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลและจัดกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อลดความเครียดและปัญหาทางสุขภาพจิตของนักเรียน A - Awareness (การตระหนักรู้) การสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องความปลอดภัยทั้งในและนอกโรงเรียน โดยการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการป้องกันอุบัติเหตุและการใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัย R - Response (การตอบสนอง) การตอบสนองต่อปัญหาของนักเรียนอย่างรวดเร็ว โดยการใช้แผนการจัดการที่มีประสิทธิภาพและมีขั้นตอนที่ชัดเจน E - Evaluation (การประเมินผล) การประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงและพัฒนาแนวทางการดูแลให้ตรงกับความต้องการของนักเรียนและบริบทของโรงเรียน การใช้ KP-CARE MODEL จะช่วยให้โรงเรียนสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นระบบและมีความยืดหยุ่น รองรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน
วัตถุประสงค์ ๑. เพื่อพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนเขาดินประชานุกูล โดยใช้ KP-CARE MODEL เพื่อให้การดูแลและสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน ๒. เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียน, ผู้ปกครอง, ชุมชน และหน่วยงานภายนอกในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในด้านการพัฒนาทักษะชีวิตและความปลอดภัย ๓. เพื่อพัฒนากระบวนการคัดกรอง ป้องกัน และการตอบสนองต่อปัญหาของนักเรียนในทุกมิติอย่างมีระบบและต่อเนื่อง
ผลการดำเนินงานพบว่า ๑. ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนเขาดินประชานุกูลได้รับการพัฒนาตาม KP-CARE MODEL อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถตอบสนองความต้องการของนักเรียนทั้งในด้านวิชาการ, สุขภาพจิต, พฤติกรรม และคุณภาพชีวิต KP-CARE MODEL ช่วยให้การดูแลนักเรียนมีความเหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนขนาดเล็ก โดยมุ่งเน้นการดูแลที่เชื่อมโยงกับความเสี่ยงและปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ๒. ความร่วมมือระหว่างโรงเรียน, ผู้ปกครอง, ชุมชน, และหน่วยงานภายนอกมีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ โดยภาคีเครือข่ายทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ที่เสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยของนักเรียน การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนทำให้การดูแลนักเรียนครอบคลุมทุกด้าน และส่งผลให้นักเรียนได้รับการดูแลและช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีคุณภาพในทุกมิติ ๓. กระบวนการคัดกรองนักเรียนได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอย่างมีระบบ ทำให้โรงเรียนสามารถระบุและจัดกลุ่มนักเรียนตามความเสี่ยงหรือปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ การตอบสนองต่อปัญหาของนักเรียนในทุกมิติ เช่น ปัญหาพฤติกรรม สุขภาพจิต หรือปัญหาครอบครัว ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที พร้อมทั้งระบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่สมบูรณ์ ซึ่งช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และช่วยให้นักเรียนสามารถกลับเข้าสู่การเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล
เชิงปริมาณ
๑. โรงเรียนดำเนินการตามระบบ KP-CARE MODEL อย่างครบถ้วน โดยมีการคัดกรองและดูแลนักเรียนทุกคนอย่างทั่วถึง ทั้งในด้านพฤติกรรม สุขภาพจิต และความปลอดภัย ส่งผลให้มีนักเรียนที่ได้รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพถึงร้อยละ ๑๐๐
๒. การดำเนินการตามแผนการดูแลช่วยเหลือและความปลอดภัย ทำให้ปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงและอุบัติเหตุในโรงเรียนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยอัตราการเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ลดลงเกินกว่าร้อยละ ๕๐ เมื่อเปรียบเทียบกับปีการศึกษาที่ผ่านมา
๓. โรงเรียนจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตและความปลอดภัยให้กับนักเรียน ทำให้มีนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมและได้รับการพัฒนาในด้านทักษะชีวิตและความปลอดภัยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๑๐๐
เชิงคุณภาพ
๑. นักเรียนสามารถปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยได้ดี มีทักษะในการดูแลตนเองและป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในและนอกโรงเรียน เช่น การใช้ถนนอย่างปลอดภัย การป้องกันจากบุคคลแปลกหน้า และการใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัย
๒. ครูและบุคลากรได้รับการอบรมและพัฒนาทักษะในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถใช้ข้อมูลที่ได้รับจากการคัดกรองนักเรียนในการออกแบบการช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมตามความต้องการของนักเรียน
๓. จากการประเมินความพึงพอใจจากผู้ปกครอง พบว่าโรงเรียนได้รับความพึงพอใจสูงถึงร้อยละ ๙๐ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและความปลอดภัยในโรงเรียน
๔. โรงเรียนได้รับการยอมรับจากชุมชนและผู้ปกครองว่าเป็นสถานศึกษาที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียน และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ทั้งด้านวิชาการและด้านการพัฒนาทักษะชีวิต โดยมีมาตรการความปลอดภัยที่ชัดเจนและการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง