ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมเรื่องราวจากสมาชิก  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

การพัฒนาทีมงาน


เรื่องราวจากสมาชิก เปิดอ่าน : 6,359 ครั้ง
การพัฒนาทีมงาน

Advertisement

 

                                                            การพัฒนาทีมงาน

แนวคิดในการพัฒนาทีมงาน

 ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ  จะต้อทำความเข้าใจและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน  เพราะการทำสิ่งใหม่ ๆ ย่อมอาศัยปัจจัยหลายประการ  เช่น  วัสดุ  การบริหาร  การจัดการ  คน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

 คน”  มักจะเกิดความเสี่ยงทางอารมณ์  เช่น  ความรู้สึกของคน  การทำผิดพลาด  การถูกวิพากวิจารณ์ ดังนั้น  การทำงานจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานของตัวบุคคล  ที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้วิธีปกป้องคุณค่าของตนเองจากการมองของคนอื่นด้วย  โดยผู้ที่จะให้การสนับสนุนและกำลังใจได้  คือ  ผู้บริหาร

ปัจจัยที่สำคัญในการทำงานในองค์การหนึ่ง ๆ คือ  คน”  ซึ่งมีผลกระทบต่อบรรยากาศในการทำงานของกลุ่มสมาชิก  จะราบรื่นเป็นไปในทางสร้างสรรค์มีการสนับสนุนเกื้อกูลกัน  ช่วยกันแก้ปัญหา  อุปสรรคและข้อยุ่งยากให้ท่านพ้นไปได้นั้น  เป็นการทำงานเป็นทีม  โดยอาศัยศักยภาพของคนในกลุ่ม  เพื่อทำงานร่วมกัน  คิดร่วมกัน  วางแผนร่วมกันและแก้ปัญหาร่วมกัน  นับว่าเป็นการรวมพลังย่อมจะช่วยให้ประสิทธิผลของกลุ่มเพิ่มสูงขึ้นได้

Joseph M. Putti (อ้างถึงใน  จิราภรณ์  สีขาว, 2541. 2)    กล่าวว่า  การทำงานเป็นทีมนั้น  ผลงานที่ได้จากทีมจะมากกว่าผลงานของแต่ละคนที่ทำงานคนเดียวมารวมกัน  ดังนั้น  การทำงานเป็นทีมจึงเป็นวิธีการที่ได้ผลมากที่สุด  ในการปรับปรุงประสิทธิผลในการทำงานมีอยู่หลายกรณีที่ผลงานออกมาดีกว่าและประหยัดกว่ากลุ่มย่อย  จะมีความรู้สึกของการทำงานเป็นทีมมาก  จึงเป็นผลให้สมาชิกกลุ่มพร้อมที่จะร่วมในกิจกรรมกลุ่ม  และเมื่อมีส่วนร่วมก็มีความผูกพันและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่มเป็นอย่างดี  และถ้ามุ่งปรับปรุงคุณภาพความสัมพันธ์ที่มีอยู่ต่อกันระหว่างสมาชิกของกลุ่ม  และมุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มกับงานที่กลุ่มกำลังทำ  จะช่วยให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิผลและบรรลุเป้าหมายที่ต้องการขององค์การเป็นการสร้างพื้นฐานสำคัญเกี่ยวกับความรู้  ความเข้าใจในการทำงานเป็นทีม  และสามารถนำไปสู่การพัฒนาทีมงานได้  โดยต้องอาศัยเทคนิค  วิธีการหลายอย่างที่จะสร้างทีมงานให้เข้มแข็ง  และพัฒนาทีมงานอย่างต่อเนื่อง  เพื่อองค์การที่เข้มแข็งต่อไป                 

                  คำว่า  ทีมงาน  มีนักวิชาการได้ให้ความหมายหลายลักษณะ  แต่ความหมายหลาย ๆ ความหมายจะเน้นความสำคัญอยู่ที่กลุ่มของบุคคลที่จะร่วมในกิจกรรมมีการเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน  มีการวางแผนร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้  ตามพจนานุกรมไทยได้ให้ความหมาย  ทีมงานไว้  ดังนี้

ทีมงาน  (Team work)  หมายถึง  ที่รวมกำลังกันทั้งคณะ

วู๊ดค็อก  และฟรานซิส  (Wood cock and Francis, 1981 :  อ้างถึงใน จิราภรณ์  สีขาว, 2541 : 2) ให้ความหมายว่า  ทีมงานหมายถึง  กลุ่มคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน

วีระวัฒน์  พงษ์พยอม  (2536  : 14,  อ้างถึงใน จิราภรณ์  สีขาว, 2541 : 3)  ได้ให้คำนิยามทีมงาน  คือ  กลุ่มของบุคคลที่ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันโดยสมาชิกต้องเสียสละความเป็นส่วนตัวเท่าที่จำเป็น  เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น

รังสรรค์  ประเสริฐศรี  (2544 : 151) ให้ความหายของทีมงาน   หมายถึง ความเข้าใจและความมุ่งมั่นของลูกทีมที่มีให้กับทีม   ดังนั้น ทีมทุกทีมจึงหมายถึงกลุ่มและคณะ  แต่กลุ่มทุกลุ่มอาจไม่ใช่เป็นทีมก็ได้

สุทธิวรรณ  ตันติรจนาวงศ์   (2535  : 1, อ้างถึงใน จิราภรณ์  สีขาว, 2541 : 3)   ให้ความหมายการทำงานเป็นทีม  หมายถึง  ลักษณะกลุ่มทำงานที่บุคคลตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป  ที่มีความสัมพันธ์ต่าง  ๆ ในการทำงานมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในกลุ่ม  และรับรู้ว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มตามโครงสร้างที่มีอยู่ในองค์การ  รวมทั้งเข้าใจวัตถุประสงค์ของการทำงานร่วมกัน

จากความหมายของทีมงานข้างต้น  พอสรุปสั้น ๆ ได้ดังนี้

ทีมงาน  หมายถึง  การทำงานของกลุ่มที่ใช้ความสามารถแต่ละบุคคลให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ  โดยเน้นที่กระบวนการทำงานเป็นกลุ่มและผลงานของกลุ่ม  เพื่อผลประโยชน์ขององค์การหรือหน่วยงาน  ดังแผนภูมิข้างล่างนี้

 การสร้างทีมงาน หมายถึง  การทำงานของกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ  พยายามทำให้กลุ่มสามารถเรียนรู้วิธีการวินิจฉัยปัญหา  ปรับปรุงความสัมพันธ์ในการทำงานให้ดีขึ้น  ความร่วมมือร่วมใจประสานงานกันในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายและบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน

วู๊ดค็อก   (Wood cock 1989 :   อ้างถึงใน จิราภรณ์  สีขาว, 2541 : 4-6)     ได้ให้แนวคิดองค์ประกอบของทีมงานที่มีประสิทธิภาพจะต้องประกอบด้วย  คุณลักษณะที่ดี  คือ

1)      บทบาทที่สมดุล

2)      วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นต้องกัน

3)      การเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา

4)      การสนับสนุนและการไว้วางใจต่อกัน

5)      ความร่วมมือและการใช้ความขัดแย้ง

6)      กระบวนการปฏิบัติงานที่ชัดเจน

7)      ภาวะผู้นำที่เหมาะสม

8)      การทบทวนการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ

9)      การพัฒนาตนเอง

10)   ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม

11)   การสื่อสารที่ดี

 

1.  บทบาทที่สมดุล  (balanced roles)  คือ  การผสมผสานความแตกต่างของความสามารถโดยใช้ความแตกต่างของบุคลิกภาพและวิธีการที่หลากหลายให้เหมาะสมกับสถานการณ์     ต้องอาศัยความกลมกลืนและบทบาทสมดุลของสมาชิกในทีมงาน  ซึ่งคล้ายพ่อครัวที่จะเลือกชนิดของเครื่องปรุง

ปรุงอาหารจะต้องมั่นใจในคุณภาพและปริมาณ  ผู้บริหารที่จะสร้างทีมงานจะต้องหาจุดสมดุลสูงสุดของทักษะและความสามารถของสมาชิกในกลุ่ม  โดยการวิเคราะห์จากบทบาทที่จำเป็นในการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพต่อไปนี้

ผู้นำ (leader)  ผู้นำก็คือ  การตั้งทีมงาน  ตั้งวัตถุประสงค์  วางแผนควบคุมการปฏิบัติงาน  เรียกประชุมและมอบหมาย  โครงสร้างการทำงาน  พยายามนำสิ่งที่ดีที่สุดของสมาชิกในทีมงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ผู้ท้าทาย (challenger)  จะต้องสร้างบทบาทให้ทีมงานยอมรับในสิ่งที่กำลังกระทำ  จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าความคิดเหล่านั้นเป็นจริงได้  ถ้าทีมงานไม่มีผู้ท้าทายก็เหมือนกับทีมงานขาดแรงกระตุ้น

ผู้เชี่ยวชาญ (expert)  ในการสร้างทีมงานจึงจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมากมายหลายสาขาให้คำแนะนำเฉพาะเรื่อง  เฉพาะอย่างให้การทำงานบรรลุจุดหมาย

นักการฑูต (ambassador)  บุคคลประเภทนี้ต้องมีบุคลิกภาพที่เป็นมิตรเป็นนักประชาสัมพันธ์ เป็นนักการขายและเสมือนผู้สร้างสะพานเพื่อเชื่อมต่อไปยังบุคคลที่เราต้องการรู้จัก  ที่จะนำประโยชน์มาให้ทีมงาน

ผู้พิพากษา (judge)  ต้องแสดงบทบาทเหมือนกับผู้พิพากษาในศาลที่จะต้องค้นหาความจริงมีเหตุมีผล  พินิจพิจารณาอย่างใคร่ครวญ  ตรวจสอบความสมดุลและค้นหาความยุติธรรมให้ได้

นักนวัตกรรม (innovator)  เป็นพวกที่ใช้จินตนาการสร้างสรรค์  คอยเสนอความคิดใหม่ ๆ อยู่เสมอ  สามารถปฏิบัติให้เป็นจริงได้  โดยนำความคิดไปทดลองปฏิบัติคิดค้นยุทธวิธีในการดำเนินงานให้เหมาะสม  ในขณะเดียวกันก็ขจัดปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในการทำงานด้วย

นักการต่างประเทศ (diplomat)  หรือเรียกว่า  นักเจรจา  จะทำหน้าที่แก้ปัญหาทางการเจรจาต่อรองภายในทีมงาน  โดยจะต้องสร้างพันธมิตรทั้งภายในและภายนอกทีมงานสร้างความมั่นใจว่าปัญหาต่าง ๆ ที่ถูกแก้ไขจะต้องเป็นที่ยอมรับของทุกคน  เป็นผู้ก่อให้เกิดความประนีประนอม  ซึ่งจะต้องใช้ศิลปะของความเป็นไปได้อย่างสูง  จึงต้องอาศัยนักเจรจาเพื่อนำทีมงานฝ่าอันตรายออกไปให้ได้

ผู้คล้อยตาม (conformer)  เป็นบุคคลที่คอยช่วยเหลือในทุก ๆ ทาง  พวกนี้จะคอยช่วยเหลือช่วยประสานงาน  และช่วยให้ผู้อื่นในทีมงานโล่งใจ  โดยการหาสิ่งที่ดีของพวกที่ขัดแย้งในทีมงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทีมงาน

ผู้ผลักดันผลผลิต (output pusher)  บทบาทของพวกนี้จะเป็นนักไล่ล่าหาความเจริญก้าวหน้า  และเป็นผู้คอยทำให้ทีมงานแน่ใจว่า  งานกำลังมุ่งตรงไปตามเป้าหมาย   ทำให้ต้องใช้ทักษะ  ความผูกพันกับงานสูงมากและกระตุ้นให้ทุกคนมั่นใจในผลงานที่ร่วมกันทำ  คุณลักษณะของพวกนี้จึงเป็นคนไม่ค่อยโอนอ่อนผ่อนปรนเท่าใดนัก 

ผู้ควบคุมคุณภาพ (quality controller) จะเป็นผู้คอยตรวจสอบ การมุ่งไปสู่ผลผลิต”  ของพวกผู้ผลักดันผลผลิต  พวกนี้จะเป็นบุคคลที่คอยกระตุ้นให้ทีมงานเกิดความพยายามให้ผลผลิตมีมาตรฐานสูง  จึงจัดเป็นพวกหวังดีในทีมงานเน้นคุณภาพในทุกเรื่อง

ผู้สนับสนุน(supporter)  เป็นพวกที่ทำให้ทีมงานสบายใจและสร้างขวัญกำลังใจในทีมงาน  คุณลักษณะเช่นนี้เป็นการมุ่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในทีมงานเป็นพวกที่พยายามสร้างมนุษยสัมพันธ์ให้ทีมงานเกิดความสุขและความพอใจในโลกของการทำงาน  โดยใช้วิธีสืบเสาะหาต้นเหตุแห่งปัญหา  คอยให้ความสนับสนุนและส่งเสริมหรือคอยช่วยเหลือในการพัฒนางาน

ผู้ทบทวน (reviewer)  เป็นพวกที่คอยสังเกตการณ์ว่า  การทำงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่  คุณลักษณะของผู้ทบทวนคือ  ผู้ดูแลการทำงานว่าจะดีหรือไม่อย่างไรในอนาคต  โดยการมองย้อนกลับไปดูอดีต

สรุปได้ว่าบทบาทที่สมดุลเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างทีมงานของผู้บริหารซึ่งผู้บริหารจะต้องคำนึงถึงความสามารถและความแตกต่างของบุคคลในการทำงานแต่ละด้านก่อนมอบหมายงาน  เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย

2.  วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน  (clear objective and agree goals)  การบริหารงานที่เปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติ     

จะส่งผลให้บุคลากรเกิดขวัญและกำลังใจในการทำงาน  มีความรู้สึกในความเป็นเจ้าของ  เกิดความภาคภูมิใจในงานที่ได้กระทำ  มีความขยันขันแข็ง  กระตือรือร้นที่จะคิดสร้างสรรค์งานให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น  ทำให้การทำงานเกิดประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ

3.  การเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อการแก้ไขปัญหา (openness and confrontation)  ทีมงานที่มีประสิทธิภาพนั้น  สมาชิกในทีมงานจะต้องสามารถแสดงทัศนวิจารณ์  ให้ความคิดเห็นเสนอแนะข้อแตกต่างโดยปราศจากความกลัว 

เครื่องหมายที่แสดงถึงคุณภาพของทีมงาน  คือ  การเปิดเผยและและกล้าเผชิญหน้าหลาย ๆ องค์การถือว่า  ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่  ทั้งในทางทัศนคติและพฤติกรรม  ซึ่งจะปรากฏซ้ำ ๆ แต่จะได้ผลตอบแทนที่ยาวนาน  โดยเน้นพฤติกรรมดังต่อไปนี้

1.  การเพิ่มประสิทธิภาพของการคมนาคมสื่อสารและข้อมูลย้อนกลับ  โดยยึด      หลักการให้ดังนี้

1.1    เป็นความต้องการของผู้รับ  (และผู้ส่ง)  ในช่วงของเวลาที่จำเป็นหรือต้องการ

1.2    มุ่งไปที่การอธิบายเหตุการณ์หรือความรู้สึกมากกว่าจะประเมินข่าวสารนั้น ๆ

1.3    มุ่งถึงสิ่งที่ผู้รับสามารถทำได้

1.4    เป็นสิ่งเฉพาะ

1.5    ระยะเวลาควรใกล้เคียงกับการเกิดเหตุการณ์

1.6    ตรวจสอบความเข้าใจได้

2.  การเพิ่มความรู้แห่งตน  จะทำให้สมาชิกในทีมงานพัฒนาความเปิดเผย  และการกล้าเผชิญหน้าเพิ่มขึ้น

3.  การใช้ความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์  ความขัดแย้งถ้ารู้จักนำมาใช้ให้ถูกต้องและอย่างสร้างสรรค์  ย่อมนำไปสู่ความเข้าใจอันดีระหว่างสมาชิกในทีมงาน

4.  การปรับปรุงความเป็นผู้ฟังที่ดี  การฟังถือเป็นการสื่อสารที่ดีในทีมงานนักฟังที่ดีต้องเข้าใจทัศนคติและความรู้สึกของผู้พูด  ว่าต้องการพูดอะไรออกมาสนใจและกระตือรือร้นในสิ่งที่       รับฟังและรู้จักเพิ่มพูนทักษะการฟังให้มีประสิทธิภาพ

4.  การสนับสนุนและการไว้วางใจต่อกัน  (support and trust)  การสนับสนุนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สมาชิกในทีมงานมีความต้องการ  ฉะนั้นบทบาทของผู้นำหรือผู้บริหารโรงเรียนจึงควรให้การ   ส่งเสริมสนับสนุนสมาชิกในองค์การของตน  เช่น  สนับสนุนโดยการฟัง  การยกย่องชมเชย  การแสดงความซาบซึ้ง  การส่งเสริม  การแสดงความห่วงใยในปัญหาและประเด็นต่าง ๆ ของงาน  โดยให้บุคลากรในโรงเรียนตระหนักว่าผู้นำหรือผู้บริหารมีความจริงใจ  องค์การก็จะก้าวหน้าไปตามขั้นตอนของการพัฒนา  ผลที่ได้รับจะทำให้บุคลากรในองค์การให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การแต่ละคนในองค์การจะเข้าใจความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างงานของตนเองกับของคนอื่น ๆ และพร้อมที่จะรับและให้ความช่วยเหลือร่วมมือร่วมใจอย่างจริงใจ  อันจะทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

5.  ความร่วมมือและการใช้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์  (co – operation and conflict)  การบริหารงานในโรงเรียนให้ได้ผลสำเร็จตามความมุ่งหมายได้คนเป็นเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด  ในการดำเนินงานแต่เนื่องจากความแตกต่างระหว่างบุคคลไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ ความเชื่อ  ความนิยม  ความรู้ความสามารถในการทำงานหรือเป้าหมายในการทำงานที่ต่างกันเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดความ     ขัดแย้งในการทำงานได้ทั้งสิ้น  ผู้บริหารทุกระดับจึงจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัญหาความขัดแย้งในการทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้เป็นไปในลักษณะสร้างสรรค์  และเป็นประโยชน์กับหน่วยงานด้วย

6.  กระบวนการปฏิบัติงานที่ชัดเจน  (sound procedures)  พฤติกรรมการทำงานของแต่ละคนมีความแตกต่างกันไปตามความรู้  ประสบการณ์เดิม  ทักษะในการทำงานและทัศนคติส่วน บุคคลบุคคลดังนั้น  จึงถือเป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องสร้างและพัฒนาการทำงานเป็นทีมอยู่เสมอ  เพื่อให้แต่ละคนเห็นความสำคัญของงานและผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าความสำคัญของบุคคล หรือผลประโยชน์ส่วนบุคคลบรรยากาศในการทำงาน  สภาพแวดล้อม  และการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน  สิ่งเหล่านี้มีส่วนเสริมการทำงานเป็นทีมทั้งสิ้น  การตัดสินใจอาจจะกระทำโดยผู้บริหารคนเดียวได้  แต่ในการปฏิบัติงานนั้นไม่สามารถจะกระทำโดยผู้บริหารเพียงคนเดียว  ทีมงานที่ดีจึงเปรียบเสมือนพลังในการปฏิบัติงานของผู้บริหารให้ประสบความสำเร็จนั่นเอง

7.  ภาวะผู้นำที่เหมาะสม  (appropriate leadership)  พฤติกรรมผู้นำที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการทักษะความชำนาญของผู้ร่วมงาน ลักษณะงานและข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมขององค์การนั้น ๆ ซึ่งไม่สามารถกำหนดออกเป็นรูปแบบรายละเอียดของผู้นำได้ว่าควรเป็นแบบใด  จึงจะเหมาะสมที่จะนำมาใช้กับผู้ร่วมงาน  หากผู้นำได้ยึดมั่นในพฤติกรรมการบริหารที่ตายตัว  ความมีประสิทธิผลจะลื่นไหลเปลี่ยนไปมา  ภาวะผู้นำที่เหมาะสมจะต้องทำให้ให้สอดคล้องเข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ เพื่อให้เป็นไปในทางที่จะช่วยสนับสนุนให้งานบรรลุเป้าหมาย

ความเป็นผู้นำเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับความสำเร็จในงานด้านต่าง ๆ ขององค์การ  ผู้นำที่ไม่มีความสามารถย่อมจะเป็นผู้ทำลายขวัญของบุคลากรในองค์การ  และเป็นผลทำให้งานด้านต่าง ๆ ขาดประสิทธิภาพ  แต่ในทางตรงกันข้าม  ผู้นำที่มีความสามารถจะมีผลทำให้เปลี่ยนลักษณะของบุคลากรในองค์การให้กลับกลายเป็นบุคคลที่มีความขยันขันแข็ง  และช่วยให้องค์การประสบผลสำเร็จได้อย่างมี     ประสิทธิภาพ

 8.  การทบทวนการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ (regular review)  การทบทวนการบริหารงานในทีมอย่างสม่ำเสมอ  จะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของทีมงาน  ช่วยให้ทีมงานได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้น  ฉะนั้นการทบทวนการทำงานอย่างสม่ำเสมอจึงนับว่าเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานของหน่วยงาน  หรือองค์การ  เพราะองค์การที่จัดตั้งขึ้นมานั้นต่างก็ต้องมีการนำเอาทรัพยากรมาลงทุนทำกิจกรรม  การตรวจสอบทบทวนผลการทำงานจึงเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้บริหารองค์การรู้ความเป็นไปว่าดีหรือเลวอย่างไร  คุ้มค่าเพียงใดหรือไม่  ซึ่งจะเห็นได้ว่า  การทบทวนการทำงานอย่างสม่ำเสมอนี้  ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์การหรือหน่วยงาน  2  ประการ  คือ  ผู้ทำงานทราบถึงผลงานที่ตนรับผิดชอบและในแง่ของตัวองค์การก็จะได้ข้อมูลที่จะช่วยให้สามารถรู้ได้ว่า  งานที่ทำทั่วไปแล้วนั้น  ทำได้ดีเพียงใด  ซึ่งการรู้ดังกล่าวนี้เองจะทำให้การควบคุมสั่งการต่าง ๆ สามารถกระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

9.  การพัฒนาตนเอง (individual development)  การให้สมาชิกในทีมมีประสิทธิภาพสูงขึ้นได้นั้น  จะต้องเริ่มที่การพัฒนาบุคลากรหรือพัฒนาสมาชิกภาพของบุคคลในทีมงาน  โดยการฝึกอบรมการให้การศึกษา  การพัฒนาเป็นกลุ่ม  เพราะถือว่าบุคคลแต่ละคนมีส่วนช่วยให้องค์การดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

10.  ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม  (sound inter – group relation) กลุ่มทำงานใดมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันในลักษณะสนิทสนมหรือแน่นแฟ้น  พฤติกรรมของกลุ่มหรือทีมจะเป็นไปในทางที่ดี  สมาชิกของทีมต่างก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน  และทุกคนก็จะทุ่มเทความสำคัญ  เวลาทำงานให้กับกลุ่มหรือทีมงานมากขึ้น

11.  การสื่อสารที่ดี  (good communications)  พื้นฐานที่สำคัญของการบริหารงานนั้นขึ้นอยู่กับการสื่อสารที่ดี  อันจะมีผลให้เกิดความเข้าใจ  ความร่วมมือและการประสานงานที่ดีด้วยแผนงานต่าง ๆ จะได้รับการปฏิบัติมากน้อยเพียงใด  ย่อมขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติการสื่อสาร  จึงเป็นวิธีการเดียวที่สามารถกระตุ้นให้เขาปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

ดังนั้น  คุณลักษณะในการสร้างทีมงาน  11  ประการ  ของทีมงานที่กล่าวมาแล้วจะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเหมือนระบบต่าง ๆ ในร่างกายของคนเรา  หากระบบใดระบบหนึ่งในร่างกายบกพร่อง  ผลร้ายจะกระทบกระเทือนถึงระบบอื่น ๆ ด้วย  โดยนัยเดียวกัน  หากเราปรับปรุงพัฒนาองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง  ผลดีจะเกิดขึ้นแก่ทีมงานหรือองค์การทั้งหมด 

การสร้างทีมงานเป็นกระบวนการสร้างความสัมพันธภาพในกลุ่ม  มุ่งปรับปรุงคุณภาพความสัมพันธ์ที่มีอยู่ต่อกันระหว่างสมาชิก  ให้มีประสิทธิผลของกลุ่มสูงขึ้นได้  เพื่อมีการวางแผนที่มีจุดมุ่งหมายในการปรับปรุงหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพผ่านการวิเคราะห์อย่างมีระบบและได้การยอมรับในหน่วยงาน

ในการสร้างทีมงานมีวัตถุประสงค์พื้นฐานในการปรับปรุงความสามารถในการแก้ปัญหาระหว่างสมาชิกของกลุ่มด้วยการทำงานร่วมกันตามที่ตั้งเป้าหมายไว้  วัตถุประสงค์ประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้

1.  สมาชิกทุกคนมีความเข้าใจบทบาทของตนดีขึ้นในการทำงานเป็นกลุ่ม

2.  มีความเข้าใจดีขึ้นเกี่ยวกับ  ธรรมนูญ”  หรือกฎข้อบังคับของกลุ่ม  นั้นคือวัตถุประสงค์และบทบาทในการทำงานทั้งหมดในองค์การ

3.  เพิ่มพูนการสื่อสารในระหว่างสมาชิกของกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของกลุ่ม

4.  ความสนับสนุนซึ่งกันและกันเพิ่มขึ้นในระหว่างสมาชิกของกลุ่ม

5.  ความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับกระบวนการกลุ่ม  เช่น  พฤติกรรม  และความสัมพันธ์ของกลุ่มที่มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด

6.  วิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเกี่ยวกับปัญหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทั้งระดับที่เกี่ยวกับการทำงานโดยตรงและระดับที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในระหว่างบุคคล

7.  ความสามารถที่จะใช้ความขัดแย้งไปในทางสร้างสรรค์มากกว่าทางทำลาย

8.  การร่วมมือร่วมใจมากขึ้นระหว่างสมาชิกของกลุ่มและการลดการแข่งขันลง  ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมากต่อบุคคล  ต่อกลุ่มและต่อองค์การ

9.  การเพิ่มพูนความสามารถของกลุ่มที่จะทำงานร่วมกับกลุ่มอื่น ๆ ในองค์การ

          10.  มีความรู้สึกของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในระหว่างสมาชิกของกลุ่ม

 

มโนทัศน์การสร้างทีมงาน

คือ  การเพิ่มการเน้นในการช่วยเหลือ  ทีมงานให้บรรลุผลการทำงานให้สำเร็จในการทำงานแบบเป็นทีม  ต้องอาศัยกระบวนการทางสังคมและกระบวนการของงานต่างก็มีความสำคัญต่อความสำเร็จของทีมงาน  โดยลำดับขั้นตอน  ดังนี้

1.  ตั้งเป้าหมายหรือลำดับขั้น

2.  วิเคราะห์หรือจัดหาแนวทางในการทำงาน

3.  ตรวจสอบแนวทางการทำงานของกลุ่ม  กระบวนการของมัน  เช่น  บรรทัดฐาน   การตัดสินใจ  และการสื่อความหมาย

4.  ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างคนทำงาน

การสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพนั้น  จะต้องคำนึงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  และทรัพยากรที่มีอยู่  และทีมนั้นจะต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาการทำงานของกลุ่มอยู่เสมอ  ด้วยการเปิดโอกาสให้พัฒนาตนเองและความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างมีประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลา  สิ่งที่จะชี้ว่าทีมมีความพร้อมอยู่นั้น  มี  3  ประการ  คือ

-  สมาชิกกลุ่มมีความกระตือรือร้นในการทำงานเป็นทีมหรือไม่

-  การทำงานเป็นทีม  สามารถครอบคลุมความต้องการส่วนใหญ่ของบุคคลในทีมได้หรือไม่

-  องค์การสนับสนุนการทำงานเป็นทีมหรือไม่

เครื่องมือที่จะช่วยสำรวจความพร้อมในการสร้างทีมนั้น  วู๊ดคอดและฟรานซิส  (Wood cock and Francis 1981 : อ้างถึงใน จิราภรณ์  สีขาว, 2541 : 13-16) ได้ทำแบบสำรวจขึ้น เรียกว่า แบบสำรวจความพร้อม (The Instrucment  Teambuilding Readiness Survey)  มีดังนี้

1.  การสร้างทีมงานต้องใช้เวลา  (Teambuilding tables time)

            การสร้างทีม  ต้องมีการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ในการทำงาน  ต้องมีการประสานงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ   ดังนั้นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ถึงเรื่องเหล่านี้   การตัดสินใจใช้เวลาเท่าใดนั้น

ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของบุคคลในกลุ่ม  ว่าจะใช้เวลาในการเรียนรู้ซึ่งกันและกันนานเท่าใด

2.  งบประมาณ  (How much money is available for team building)

            การสร้างทีมนั้น  ต้องมีงบประมาณค่าใช้จ่ายในโครงการทำงานร่วมกันของกลุ่ม  เพราะอาจต้องใช้จ่ายในเรื่องการทำกิจกรรมที่น่าสนใจของกลุ่ม  หรือบางทีเป็นค่าใช้จ่ายในการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้กลุ่มทำงาน

3.  หัวหน้าทีม  (Does the team manager want to undertable team building)

              ผู้อาวุโสของทีมเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง  โดยจะเป็นผู้ให้ข้อมูลป้อนกลับ  (Feedback)   ต่อทีม  และดำเนินกิจกรรมของทีมอย่างเปิดเผย  ทีมจะต้องมีข้อตกลงที่เป็นความจำเป็นร่วมกันบนพื้นฐานของความเป็นจริง  หัวหน้าทีมเห็นด้วยกับทีมในสิ่งที่ทีมจะร่วมกันทำ  หรือภายหลังเมื่อมีเหตุการณ์ใดที่จะไม่เป็นผลดีแก่ทีม  ก็อาจจะยกเลิกได้ สมาชิกทีม  มองสรรหาหัวหน้าทีมที่จะเป็นผู้นำ  และสมาชิกก็พร้อมที่จะเป็นผู้ตามหัวหน้าทีมต้องเป็นคนเปิดเผย  มีทัศนคติที่ดี  และมองเห็นเป้าหมายสำคัญตั้งใจทำงานให้สำเร็จ

4.  การอาสาสมัครของสมาชิก  (Voluntary involement of team members)

            ทีมที่ประสบความสำเร็จนั้น  ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของสมาชิกทีมที่มีประสบการณ์ในการทำงานอย่างมีหลักการและเหตุผลร่วมทำกิจกรรมกลุ่ม  และเสนอความต้องการของคนให้แก่กลุ่มเป็นข้อตกลงร่วมกัน

5.  การฝึกอบรมทักษะส่วนบุคคล  (Training in inter – personal skills)

            สมาชิกทีมแต่ละคนจะมีทักษะความสามารถที่แตกต่างกัน  การฝึกอบรมนี้  จะเป็นพื้นฐานทำให้ทีมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะทักษะการติดต่อสื่อสาร  หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 

6.  จุดยืนของหัวหน้าทีม  (Standing of team manager)

            หัวหน้าจะต้องมีอารมณ์ขัน  มีความซื่อสัตย์  เป็นบุคคลที่มีค่าได้รับการยอมรับจากทีม  ต้องการพัฒนาทีม  และให้การสนับสนุนทีม  และหัวหน้าทีมจะต้องตระหนักว่าขบวนการทำงานเป็นทีมนั้นจะต้องทำอย่างเปิดเผยรู้ร่วมกัน  บางทีอาจจะเป็นไปโดยลำบาก  มีการประเมินบทบาทของแต่ละคน  สิ่งเหล่านี้ จะทำให้มีบรรยากาศที่ดีในการทำงาน  หัวหน้าจะต้องมีทัศนคติที่ดีรวมทั้งการให้ข้อมูลป้อนกลับ  และการทำให้กลุ่มเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี  อย่างไรก็ตามหัวหน้าทีมจะต้องมีจุดยืน  และหลักการที่เข้มแข็งพอที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี  เกิดผลเสียหายต่อทีม

7.  การทำงานอย่างมีหลักฐาน  (Substainal task)

            ทีมจะได้รับการยอมรับถึงการทำงานเป็นทีมที่ดี  ถ้างานที่ทำนั้นมีความสำคัญ  และมีหลักฐานแสดงถึงความสำเร็จ  ในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  จะช่วยพัฒนาการทำงานของทีมมากขึ้น

8.  ประสบการณ์ของการสร้างทีม  (Teambuilding experience)

              สมาชิกทีมแต่ละคนจะมีประสบการณ์เดิมที่แตกต่าง  ซึ่งประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละคน 

จะช่วยทำให้ทีมมีการพัฒนาได้เร็วขึ้น  ด้วยการกระตุ้นศักยภาพของตนเองและช่วยสนับสนุนสมาชิกอื่น  ให้ทำงานอย่างมีระบบขึ้น  นั่นคือการมีประสบการณ์ในการสร้างทีมนั่นเอง

9.  ความช่วยเหลือในทีม  (Competent internal help)

            ทีมที่มีความสามารถจะมีขบวนการทำงานที่เป็นระบบ  สมาชิกแต่ละคนรู้บทบาทของตนเองที่จะเป็นผู้สังเกต  เป็นตัวเร่งให้เกิดการเรียนรู้  เป็นที่ปรึกษาของทีม  องค์การที่มั่นคงจะมีบุคคลที่มีความสามารถคอยช่วยเหลือทีม  ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะมีที่ปรึกษาภายในทีมเพื่อชี้แนะในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้

10.  ความช่วยเหลือภายนอกทีม  (Competent external help)

              ที่ปรึกษาบางคนจะมีความสามารถพิเศษที่เป็นลักษณะเฉพาะ  จะช่วยให้ทีมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  การเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา  จะเป็นประโยชน์มากต่อทีม  ที่จะให้คำปรึกษาในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้อาวุโสในทีม  จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับที่ปรึกษาภายนอกทีม  ถ้าภายในทีมไม่มีบุคคลใดเป็นผู้ช่วยเหลือหรือให้คำปรึกษาภายในทีม

           ในบางครั้ง  ที่ปรึกษาภายนอกทีม  จะเป็นประโยชน์ต่อทีมที่จะให้การสนับสนุนการทำงานภายในทีม  ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะภายในทีม

11.  การประชุมอย่างสม่ำเสมอ  (Regular meetings)

            การทำงานเป็นทีม  เป็นขบวนการพัฒนาการทำงานเป็นกลุ่มที่แบ่งงานกันทำ  ถ้าไม่มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ  จะไม่มีพื้นฐาน  ซึ่งเป็นความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการของสมาชิกเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งลักษณะการเจริญเติบโตในการพัฒนา  สมาชิกจะทำให้ทีมมีประสิทธิภาพสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญที่เป็นผลประโยชน์ของทีม  คือความมีชีวิตชีวาของกลุ่ม  และการพัฒนาบุคคลแต่ละคนในกลุ่ม  สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการสร้างและต้องการประชุมเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานกลุ่ม  จากกิจกรรมที่เชื่อมโยงของกลุ่ม  จะนำมาเป็นข้อตกลงของทีมที่ประสบความสำเร็จ

12.  การสนับสนุนของผู้บังคับบัญชา&n

โพสต์โดยสมาชิกหมายเลข 8773 วันที่ 8 ธ.ค. 2552


การพัฒนาทีมงาน

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

ทำไม เราไปกันไม่ได้

ทำไม เราไปกันไม่ได้


เปิดอ่าน 6,255 ครั้ง
คิดแล้ว...ทุกข์

คิดแล้ว...ทุกข์


เปิดอ่าน 6,246 ครั้ง
Happy New Year

Happy New Year


เปิดอ่าน 6,251 ครั้ง
การดูแลรักษาตู้เย็น

การดูแลรักษาตู้เย็น


เปิดอ่าน 6,259 ครั้ง
ควันหลงปีใหม่

ควันหลงปีใหม่


เปิดอ่าน 6,263 ครั้ง
กำเนิดปากกา

กำเนิดปากกา


เปิดอ่าน 6,268 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

สมควรแล้วหรือ ที่นำดาราที่เรียกได้ว่านางเอกหนังโป๊ มาแสดงหนังไทยให้เยาวชนดู??

สมควรแล้วหรือ ที่นำดาราที่เรียกได้ว่านางเอกหนังโป๊ มาแสดงหนังไทยให้เยาวชนดู??

เปิดอ่าน 6,341 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
เวียดนาม เจอพันธุ์ใหม่ ทั้ง ตัวปาด, ตุ๊กแกภูเขา
เวียดนาม เจอพันธุ์ใหม่ ทั้ง ตัวปาด, ตุ๊กแกภูเขา
เปิดอ่าน 6,255 ☕ คลิกอ่านเลย

แหล่งความรู้ภายนอกโรงเรียน
แหล่งความรู้ภายนอกโรงเรียน
เปิดอ่าน 6,325 ☕ คลิกอ่านเลย

มาทายนิสัย จากการดูทีวีกันดีกว่า
มาทายนิสัย จากการดูทีวีกันดีกว่า
เปิดอ่าน 6,267 ☕ คลิกอ่านเลย

สวนของคนไม่ชอบ..อยู่บ้าน
สวนของคนไม่ชอบ..อยู่บ้าน
เปิดอ่าน 6,251 ☕ คลิกอ่านเลย

ธรรมชาติสร้างสรรค์ ....หรือน้ำมือมนุษย์
ธรรมชาติสร้างสรรค์ ....หรือน้ำมือมนุษย์
เปิดอ่าน 6,265 ☕ คลิกอ่านเลย

ทำความดี ละเว้นความชั่ว ลดกรรม 45 ประการ
ทำความดี ละเว้นความชั่ว ลดกรรม 45 ประการ
เปิดอ่าน 6,262 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

10 เรื่องมหัศจรรย์เกี่ยวกับไข่ ที่คุณสามารถทำเอง เอาไว้สอนเด็กได้
10 เรื่องมหัศจรรย์เกี่ยวกับไข่ ที่คุณสามารถทำเอง เอาไว้สอนเด็กได้
เปิดอ่าน 19,050 ครั้ง

แชร์กระจาย ฝีมือการแต่งนิทานของเด็ก 7 ขวบ ครีเอทได้น่ารักมาก
แชร์กระจาย ฝีมือการแต่งนิทานของเด็ก 7 ขวบ ครีเอทได้น่ารักมาก
เปิดอ่าน 13,275 ครั้ง

โอเน็ต!ยัง โอเค?
โอเน็ต!ยัง โอเค?
เปิดอ่าน 9,097 ครั้ง

4 สาเหตุที่เด็กๆ เบื่อโรงเรียน
4 สาเหตุที่เด็กๆ เบื่อโรงเรียน
เปิดอ่าน 10,344 ครั้ง

พบวิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกระบาด เร่งวันตายยุงให้สั้น
พบวิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกระบาด เร่งวันตายยุงให้สั้น
เปิดอ่าน 10,811 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ