ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


Advertisement

ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมเรื่องราวจากสมาชิก  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

ยอดอริยะแห่งยุค พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ชีวประวัติธุดงควัตร ปฏิบัติธรรมขั้นสูง...


เรื่องราวจากสมาชิก

8,289

views
Advertisement

ยอดอริยะแห่งยุค พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ชีวประวัติธุดงควัตร ปฏิบัติธรรมขั้นสูง...

❝ สนับสนุนข้อมูลโดย ชมรมพระจันทร์ยิ้ม โทรติดต่อ 0864113996 ❞



เรื่องราวของท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมานานแล้ว แต่ก็ยังมีท่านผู้อ่านอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ทราบเรื่องราวชีวประวัติการปฏิบัติธรรมะขั้นสูงของท่านอย่างแจ่มแจ้งเท่าที่ควร จึงใคร่ขอนำเรื่องราวจริยธรรมของท่านมาเผยแพร่อีกครั้ง เพื่อเป็นคติธรรมสำหรับท่านที่ใคร่สนในใจธรรมะ
��þҨ����
<O:p</O:p
ยอดอริยะแห่งยุค


เหตุไฉน พระอาจารย์มั่นถึงได้รับการยกย่องสรรเสริญยิ่งนักว่า เป็นนักปฏิบัติธรรมกรรมฐานผู้เยี่ยมยอดในยุคนี้ คุณสมบัติอันประเสริฐเลิศมนุษย์ของท่านก็คือ มีนิสัยพูดจริงทำจริง ไม่เหลาะแหละ มีความพากเพียรอย่างยอดยิ่งไม่ลดละท้อถอยตลอดชีวิตการเป็นนักบวชอันยาวนาน 58 พรรษา ไม่ยอมลดละความเพียรทุกวินาที จะละความเพียรก็เฉพาะเวลาพักผ่อนหลับนอนเล็กน้อยเท่านั้น พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นท่านจะรีบลุกขึ้นล้างหน้าทันที ไม่ยอมตกเป็นทาสของความโงกง่วง ท่านจะเดินจงกรมให้หายง่วง

<O:p</O:p
ถ้ายังไม่หายง่วงนอน ท่านจะเดินด้วยอิริยาบถเร็วๆ จนกว่าจะหาย ต่อจากนั้นก็นั่งสมาธิภาวนาพิจารณาธรรมะของพระพุทธองค์ขับเคี่ยวต่อสู้กับกิเลสมารในตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่กลัวความตายแต่กลัวความบาปหาบทุกข์การเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร มีความตั้งมั่นอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะซักฟอกจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพื่อก้าวพ้นโลก เพื่อไปสู่แดนว่างแห่งการรอดปลอดจากทุกข์ อันเป็นแดนสุขอย่างเลิศประเสริฐยิ่ง นั่นคือแดนพระนิพพาน

<O:p</O:p
พระอาจารย์มั่นกล่าวว่า “ นิพฺพาน˚ ปรม˚ สุข˚นิพพานเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง เป็นแดนของพระวิสุทธิเทพ คือพระอรหันต์ผู้เสวยความสุขอยู่ในแดนพระนิพพาน ”

<O:p</O:p
ท่านกล่าวอีกว่า นิพฺพาน˚ ปรม˚ สูญญ˚ รูปสูญ เวทนาสูญ สัญญาสูญ สังขารสูญ วิญญาณสูญ แต่จิตยังอยู่

<O:p</O:p
ผู้เขียนได้เคยอ่านเรื่องราวของท่านสาธุคุณ นักบุญฟรานซิสแห่งแอสซีซีในพระคริสตศาสนา ท่านนักบุญฟรานซิสสามารถทำให้สัตว์ร้ายในป่าทุกชนิดเชื่องได้ ท่านพูดกับหมาป่า พูดกับเสือ พูดกับงูพิษ และสัตว์ร้ายอื่นๆ รู้เรื่องหมด ต้องการจะเรียกให้สัตว์เหล่านี้ มาหาเมื่อไหร่ก็สามารถเรียกได้ตามต้องการ แม้จะอยู่ห่างไกลเป็นร้อยๆ ไมล์ คือท่านเรียกสัตว์ป่าเหล่านี้ทางกระแสจิต



<O:p</O:p

สยบหมาป่า<O:p</O:p

เรื่องนักบุญฟรานซิสแห่งคริสตศาสนานี้ ทำให้นึกถึงเรื่องของท่านพระครูอุดมธรรมคุณ (พระมหาทองสุก สุจิตฺโต ) ท่านได้เดินธุดงค์ขึ้นภาคเหนือเพื่อจะไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์ใหญ่ ซึ่งกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ที่บ้านกกกอก เชียงใหม่ ในระหว่างเดินทางคืนวันหนึ่ง ขณะที่ท่านพระครูอุดมธรรมคุณกำลังเดินจงกรมอยู่ในป่า ณ ที่โล่งแจ้งใต้ต้นไม้ใหญ่สาขาร่มครื้ม

<O:p</O:p
ท่ามกลางแสงเดือนหงาย ได้ยินเสียงสุนัขป่าฝูงหนึ่งส่งเสียงเห่าหอนสนั่นป่ารอบๆ เสียงนั้นบอกว่าจะต้องเป็นสุนัขป่าฝูงใหญ่ทีเดียว เพราะมันเห่าหอนรับกันเซ็งแซร่ก้องไปทั้งป่าเป็นเวลานานกว่าจะหยุด พอหยุดสักครู่ก็เห่าหอนอีกเกรียวกราวน่ากลัวมาก เพราะเป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า ถ้าสุนัขป่ารวมฝูงกันเมื่อไหร่ แม้แต่เสือ ช้าง หมี ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่เจ้าป่าก็จะต้องรีบเร้นหนีทันทีด้วยความเกรงกลัว สุนัขป่ารวมฝูงกัน มีความดุร้ายเ**้ยมหาญมาก มันจะสู้ดะไม่เลือกหน้า สู้อย่างบ้าคลั่งไม่กลัวตาย

<O:p</O:p
ท่านพระครูอุดมธรรมคุณเล่าว่า ฝูงสุนัขป่าได้เข้ามาล้อมท่านไว้เป็นวงกลมรอบด้านมีประมาณยี่สิบตัวแต่ละตัวใหญ่มาก มันพากันนั่งบ้างหมอบบ้างแลบลิ้นหอบเห็นเขี้ยวขาว น่ากลัวจริงๆ ท่าทางดุร้ายกระหายเลือด มองจ้องท่านอย่างเต็มไปด้วยความประสงค์ร้ายท่านไม่รู้สึกกลัวแต่มีอาการสยองพองเกล้าจนตัวชาไปหมด ถ้ามันพากันกระโจนเข้ารุมกัดเวลานั้น ท่านไม่มีทางจะรอดตายไปได้เลย มันจะต้องรุมกัดทึ้งกินเนื้อท่านเหลือแต่กระดูกแน่ๆ

<O:p</O:p
ท่านพยายามทำให้ใจสงบกำหนดจิตภาวนา “ พุทโธ ” แผ่เมตตาให้มัน อย่ารังแกซึ่งกันและกันเลย อย่าให้มีเวรภัยต่อกันและกัน ขอให้พวกมันจงเป็นสุขๆ เถิด ท่านมาในป่านี้ ไม่ได้มาเบียดเบียนใคร มาเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม พอท่านแผ่เมตตาให้มัน มันก็เห่าหอนกันใหญ่ ขยับตัวคลานเข้ามาแสดงท่าดุร้ายไม่ยอมรับเมตตาธรรมมุ่งหน้าจะกัดกินท่านให้ได้ ท่านจึงเร่งภาวนาใหญ่ เพื่อหยั่งจิตลงสู่ห้วงสมาธิ ไม่อาลัยในสังขาร ถ้ามันเห็นท่านเป็นเหยื่ออันโอชะอยากจะกินก็เอาเลย ท่านพร้อมแล้วที่จะเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อให้เป็นทานแก่พวกมันผู้หิวโหย

<O:p</O:p
ท่านเล่าว่า เมื่อจิตไม่อาลัยในสังขารแล้วเช่นนี้ จิตก็หยั่งสู่สมาธิอย่างรวดเร็วน่าพิศวง ทันใดก็ได้นิมิตเห็น พระอาจารย์ มั่น ภูริทัตตเถระ ปรากฏขึ้นในห้วงสมาธิ เห็นพระอาจารย์มั่นเดินออกจากป่าตรงเข้ามาหาแล้วพูดกับฝูงสุนัขป่านั้น ด้วยถ้อยคำอันเปี่ยมเมตตาว่า " อย่านะ นี่คือสมณะผู้ครองธรรม พวกเจ้าจะทำอันตรายพระไม่ได้ พวกเจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉานชาติ ก็ถือว่ามีบาปกรรมอันหนักอยู่แล้ว อย่าหาเวรภัยใส่ตัวให้ทับถามเป็นกองใหญ่อีกเลย โอกาสที่พวกเจ้าจะได้ไปเกิดในภาพชาติอันเจริญจะไม่มี หากทำอันตรายพระผู้บำเพียรสร้างบารมีธรรม " พอพระอาจารย์มั่นพูดจบลง ฝูงสุนัขป่าเหล่านั้นก็พากันเข้าไปรุมล้อมใช้จมูกสูดดมเท้าและเลียแข้งเลียขาพระอาจารย์มั่น ส่งเสียงครางหงิงๆ กระดิกหางไปมา แสดงความรู้ภาษาและรักใคร่ในตัวท่าน

<O:p</O:p
ต่อจากนั้นมันก็พากันเดินหางตกเลี่ยงจากไปอย่างเงียบๆ พระอาจารย์มั่นยิ้มให้ท่านพระครูอุดมธรรมคุณหน่อยหนึ่งแล้วก็หายวับไป ท่านรู้สึกประหลาดใจในนิมิตนี้มาก เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ปรากฏว่าได้เวลารุ่งสางสว่างแจ้งแล้ว รู้สึกเวลาผ่านไปรวดเร็วมากน่าพิศวง และสุนัขป่าฝูงนั้นก็ได้หายไปเช่นกัน

ต่อมาอีก 2 – 3 วัน พระครูธรรมคุณ ได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่นกลางทางในป่า อย่างไม่นึกฝัน ท่านพระอาจารย์มั่นยิ้มทักทายฉันเมตตาจิตแล้วว่า ผมไปอยู่บนดอยแม่กะดำกับพวกมูเซอร์รู้ว่าคุณมาตามหา เห็นหนทางไปยากลำบากนักเกรงว่าคุณไปแล้วจะไม่พบ ผมจึงรีบมาหา พระครูอุดมธรรมคุณได้ฟังแล้วถึงกับ ตะลึง ขนลุกซู่ซ่าไปหมดด้วยความอัศจรรย์ใจ ที่ท่านพระอาจารย์มั่นรู้ได้ว่าท่านตั้งต้นบุกป่าฝ่าดงมาหา แต่แล้วก็ต้องตะลึงหนักลงไปอีก เมื่อพระอาจารย์มั่นถามว่า เมื่อคืนนั้นคุณกลัวหมาป่าจะกัดกินเนื้อมากนักหรือ ผมเองแหละส่งกระแสจิตมาไล่หมาป่าฝูงนั้นให้หนีไปเพราะเห็นว่าลำพังคุณคงจะแผ่เมตตาให้มันไม่รู้เรื่อง เพราะกำลังจิตของคุณยังไม่แก่กล้าพอจะคุ้มตัวได้

<O:p</O:p
ด้วยว่าหมาป่าฝูงนี้ดุร้ายป่าเถื่อนมาก ผมเห็นวาสนาบารมีของคุณพอที่จะบำเพ็ญเพียรต่อไปได้อีกไกลจึงช่วยไล่หมาป่าฝูงนั้นให้หนีไป พวกมันเป็นเจ้ากรรมนายเวรเก่าของคุณนะ แต่เมื่อผมมาห้ามพวกมันไว้ไม่ให้ทำอันตรายคุณ กรรมเก่าที่ผูกพันกันมาก็เป็นอโหสิกรรมไป ต่างฝ่ายต่างก็พ้นจากการจองเวรกัน และจะไปดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย พระครูอุดมธรรมคุณได้ฟังแล้วก็ก้มลงกราบเท้าพระอาจารย์มั่นครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความสำนึกในเมตตาธรรมอันมีอุปการคุณอันล้นพ้น แล้วกราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่นว่า ไม่ได้คิดกลัวฝูงสุนัขป่านั้นเลย ได้ตัดสินใจอุทิศชีวิตร่างกายให้เป็นเหยื่อของมันด้วยความยินดี ท่านพระอาจารย์มั่นได้ฟังแล้วก็หัวเราะตอบว่า ดีแล้วคุณคิดถูกแล้ว แต่อาการที่คุณขนพองสยองเกล้านั้น แสดงว่าจิตคุณยังกลัวอยู่ หากแต่ตัดใจข่มลงได้ด้วยอำนาจธรรมปัญญา ต่อไปนี้คุณคงไม่กลัวตายอีกแล้วนะ เมื่อไม่มีความกลัว ไม่มีความอาลัยในชีวิตเลือดเนื้ออย่างจริงใจแล้ว จิตจะได้บริสุทธิ์ผุดผ่องเต็มที่ไม่มีจุดด่างพร้อย ธรรมปัญญาก็จะผุดขึ้นเป็นแก้วสารพัดนึกในที่สุด

<O:p</O:p
ที่เล่ามานี้ แสดงให้เห็นว่าอำนาจมหัศจรรย์ทางจิตของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (อภิญญาจิต) ได้แก่ ทิพยจักษุมีตาทิพย์ และ เจโตปริยญาณ รู้จิตใจผู้อื่น ท่านรู้เห็นได้รวดเร็วแผ่คลุมไปทั่วกว้างขวางมากอย่างไม่มีขอบเขตอันเกิดจากผลของการบำเพ็ญภาวนาอย่างเคร่งครัดยิ่งยวดจนบรรลุธรรมวิเศษ อันเป็นธรรมที่พ้นโลก อยู่เหนือโลก และไม่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลาด้วยประการทั้งปวง ท่านสามารถส่งกระแสจิตและส่งภาพของท่านให้มาปรากฏในห้วงสมาธิของพระลูกศิษย์ที่อยู่ห่างไกลหลายกิโลเมตรได้อย่างแจ่มชัด เหมือนส่งภาพเคลื่อนไหวของโทรทัศน์จากห้องส่งมายังจอที.วี.ตามบ้านยังไงยังงั้น แล้วยังสามารถพูดจากับฝูงหมาป่าได้รู้เรื่องอีกด้วยเฉกเช่นท่านนักบุญฟรานซิสแห่งคริสต์ศาสนาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้.
<O:p


ตาทิพย์<O:p</O:p


ยังมีเรื่องเกี่ยวกับ อำนาจมหัศจรรย์ทางจิต ของท่านพระอาจารย์ มั่น ภูริทัตตเถระ อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องลี้ลับน่าพิจารณาและน่าสงสัยอยู่มากสำหรับเราท่านปุถุชนผู้ยังคิดข้องอยู่ในข่ายแห่งความสงสัยไม่เชื่ออะไรที่พิสดารเอาง่ายๆ<O:p</O:p
ท่านพระอาจารย์ มหาบัว ญาณสัมปันโน เล่าว่าสมัยเมื่อพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พักอยู่วัดบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณนานิคม สกลนคร บ้านหนองผือนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาทั้งสี่ด้าน มีป่ามีเขามากไปจรดแดนกาฬสินธุ์ เป็นจุดศูนย์กลางแห่งพระธุดงค์กรรมฐาน

รูปศาลาวัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร


ในสมัยบั้นปลายชีวิตของท่านพระอาจารย์มั่น มีอุบาสิกานุ่งขาวห่มขาวคนหนึ่งมีความเคารพเลื่อมใสในพระอาจารย์มั่นมาก มาเล่าเรื่องของตัวเองถวายท่านว่า <O:p</O:pขณะอุบาสิกานุ่งขาวห่มขาวผู้นี้แกนั่งสมาธิภาวนาตลอดกลางคืนยามดึกสงัด พอจิตรวมสงบลงสนิทไม่แสดงกิริยาใดๆ ปรากฏเฉพาะความสงบนิ่งในเวลานั้น พลันก็เห็นกระแสจิตของตัวเองอันละเอียดยิ่งออกจากดวงจิตเป็นสายใยยาวเหยียดออกนอกกายนอกใจไปสู่ภายนอก แกเกิดความสงสัยเป็นล้นพ้น จึงกำหนดจิตดูว่า กระแสจิตนี้มันไหลออกไปทำไม และจะไปเกี่ยวข้องกับอะไร

<O:p</O:p
พอแกตามกระแสจิตอันละเอียดเป็นสายใยนั้นไปก็พบว่ากระแสจิตของแกไปเข้าที่ร่างของหลานสาวคนหนึ่งเพื่อจับจองที่เกิดในท้องหลานสาวซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกัน<O:p</O:p
แกรู้สึกตกใจมาก เพราะตัวเองยังไม่ตาย ทำไมจิตถึงส่งกระแสออกไปจับจองที่เกิดไว้แล้วเช่นนั้นจึงรีบย้อนจิตกลับมาที่เดิมและถอนจิตออกจากสมาธิทันที แกใจไม่ดีเลยนับแต่ขณะนั้นเป็นต้นมา

<O:p</O:p
ในระยะเดียวกันก็ปรากฏว่าหลานสาวคนนั้นเริ่มตั้งครรภ์มาได้หนึ่งเดือนแล้วเช่นกัน พอตื่นเช้าวันหลังแกรีบมาวัด เล่าเรื่องนี้ถวายพระอาจารย์มั่นดังกล่าวแล้ว ขณะนั้นมีพระเณรหลายท่านนั่งฟังอยู่ด้วย ต่างก็งงไปตามๆ กัน พระอาจารย์มั่นนั่งหลับตาอยู่ประมาณ 2 นาที แล้วลืมตาขึ้น อธิบายปรากฏการณ์แปลกประหลาดนั้นให้อุบาสิกานุ่งขาวหุ่มขาวคนนั้นฟังว่า " เมื่อจิตรวมสงบลงคราวต่อไป ให้โยมตรวจดูกระแสจิตให้ดี ถ้าเห็นแกระแสจิตนั้นส่งออกไปภายนอกดังที่โยมว่านั้น ให้กำหนดจิตตัดกระแสจิตนั้นให้ขาดด้วยปัญญาจริงๆ ต่อไปกระแสจิตนั้นจะไม่ปรากฏ แต่โยมต้องกำหนดดูกระแสจิตนั้นด้วยดี และกำหนดตัดให้ขาดด้วยปัญญาจริงๆ อย่าทำเพียงแต่ว่าทำเท่านั้น เดี๋ยวเวลาตายโยมจะเกิดในท้องหลานสาวนะจะหาว่าอาตมาไม่บอก " นี่คือคำบอกของอาตมา จงทำให้ดี ถ้าโยมกำหนดตัดกระแสจิตนั้นไม่ขาด เวลาโยมตายต้องไปเกิดในท้องหลานสาวแน่ๆ ไม่ต้องสงสัย<O:p</O:p

พออุบาสิกาผู้นั้น ได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์มั่นแล้วก็กลับบ้านไป ราวสองวันแกก็กลับมาหาท่านอีกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมาก พอแกนั่งลงเท่านั้น พระอาจารย์มั่นก็ถามเป็นเชิงเล่นบ้างจริงบ้างทันทีว่า " เป็นยังไงโยมห้ามกระแสจิตตัวเองอยู่หรือเปล่าที่จะไปเกิดกับหลานสาวทั้งที่ตัวยังไม่ตายน่ะ " แกเรียนตอบทันทีว่าโยมตัดขาดแล้วคืนแรก พอจิตรวมสงบลงสนิทแล้วกำหนดดูก็เด่นชัดดังที่เคยเห็นมาแล้ว มันส่งกระแสไปอยู่ที่ท้องหลานสาว โยมก็กำหนัดตัดกระแสจิตพิลึกนั้นด้วยปัญญาดังหลวงพ่อบอกจนมันขาดกระเด็นไปเลย เมื่อคืนนี้โยมกำหนดดูอีกอย่างละเอียดเพื่อความแน่ใจไม่ปรากฏว่ามีอีกเลย มันหายเงียบไป วันนี้อยู่ไม่ได้ต้องรีบมาเล่าถวายให้หลวงพ่อฟัง

<O:p</O:p
พระอาจารย์มั่นพูดว่า นี่แลความละเอียดของจิตคนเรา จะรู้เห็นได้จากการภาวนาสมาธิเท่านั้น วิธีอื่นไม่มีทางทราบได้ จิตของคนเรามันลึกลับยิ่งนัก เราจะไปรู้เห็นมันด้วยวิธีการคาดคิดนึกเดาเอาตามตำราไม่ได้ ต้องลงมือปฏิบัติจิตสมาธิจริงๆ ถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง โยมเกือบเสียตัวให้กิเลสขับไสไปเกิดในท้องหลานสาวแบบไม่รู้สึกตัวแล้วไหมล่ะ แต่ยังดีที่ภาวนาสมาธิจนรู้เรื่องของจิตเสียก่อน แล้วรีบแก้ไขกันทันเหตุการณ์ ฝ่ายหลานสาวคนนั้น พอถูกคุณยายอุบาสิกาตัดกระแสจิตขาดจากความสืบต่อก็ปรากฏว่าหล่อนได้แท้งลูกในระยะเดียวกัน น่าประหลาดมหัศจรรย์จริงๆ

<O:p</O:p
ปัญหาที่ว่า คนยังไม่ตาย ทำไมจึงเริ่มไปเกิดในท้องคนอื่นแล้วเช่นนี้ พระอาจารย์มั่นได้เฉลยปัญหานี้ให้พระเณรลูกศิษย์ทั้งหลายที่สงสัยเป็นล้นพ้นฟังว่า จิตเป็นแต่เพียงเริ่มต้นจับจองที่เกิดไว้เท่านั้น แต่ยังมิได้ไปเกิดเป็นตัวเป็นตนโดยสมบูรณ์ ถ้าคุณยายอุบาสิกาคนนั้นไม่รู้ทันปล่อยให้จิตเกาะเกี่ยวกับการเกิดในท้องหลานสาวจนทารกในครรภ์ปรากฏเป็นตัวเป็นตนสมบูรณ์ขึ้นมาเมื่อไร คุณยายคนนั้นจะตายทันที ต่อปัญหาที่ว่าการที่คุณยายคนนั้นตัดกระแสจิตตัวเอง จนหลานสาวแท้งลูก จะไม่เป็นการทำลายชีวิตมนุษย์ในครรภ์ล่ะหรือ ???

<O:p</O:p
พระอาจารย์มั่นตอบว่า จะเป็นการทำลายก็แต่เฉพาะกระแสจิตตัวเองเท่านั้น มิได้ตัดหัวคนที่เกิดเป็นตัวเป็นตนแล้วแต่อย่างใด เพราะจิตแท้ยังอยู่กับคุณยาย ส่วนกระแสจิตทีแกส่งไปยึดไว้ที่หลานสาวนั้น พอแกรู้สึกตัวก็รีบแก้ไขคือตัดกระแสจิตของตนเสีย มิให้ไปเกี่ยวข้องอีกต่อไป เรื่องก็ยุติกันไปเท่านั้น อีกอย่างก็คือทารกในครรภ์นั้นเพิ่งมีอายุได้ 1 เดือนเท่านั้นเป็นเพียงแต่ก้อนเลือดยังไม่เป็นตัวตนแต่อย่างใด

<O:p</O:p
สาเหตุที่คุณยายุอุบาสิกาเผลอไผลปล่อยให้แกระแสจิตส่งออกไปเกาะเกี่ยวกับหลานสาวนี้ คุณยายได้เล่าว่า แกรักหลานสาวคนนี้มากเสมอมา มีเมตตา ห่วงใย ได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับหลานสาวคนนี้อยู่เสมอแต่มิได้คิดว่าจะมีสิ่งลึกลับคอยแอบขโมยไปก่อเหตุเช่นนั้นขึ้นมา ถึงกับจะต้องไปเกิดลูกของหลานสาวอีก ถ้าไม่ได้พระอาจารย์มั่นช่วยแก้ไขไว้ทันท่วงทีก็คงไม่พ้นไปเกิดในท้องหลานสาวแน่นอน พระอาจารย์มั่นว่า จิตนี้พิสดารเกินกว่าความรู้ความสามารถของคนธรรมดาจะตามรู้ตามรักษาโดยมิให้เป็นภัยแก่ตัวผู้เป็นเจ้าของดังที่คุณยายพูดไม่มีผิดถ้าแกไม่มีหลักใจทางสมาธิภาวนาอยู่บ้างแล้ว แกก็ไม่มีทางเดินของใจได้เลย ทั้งเวลาเป็นอยู่และเวลาตายไป

<O:p</O:p
ฉะนั้นการทำภาวนาสมาธิจึงเป็นวิธีปฏิบัติต่อใจได้ดีและถูกทาง ยิ่งเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อด้วยแ<O:p</O:pล้ว สติปัญญายิ่งมีความสำคัญมากในการตามรู้และรักษาจิตตลอดการต้านทานทุกขเวทนาไม่ให้มาทับจิต ในเวลาจวนตัวซึ่งเป็นเวลาเอาแพ้เอาชนะกันจริงๆ ถ้าพลาดท่าขณะนั้นก็เท่ากับพลาดไปอย่างน้อยภพหนึ่งชาติหนึ่ง เช่นไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดใดก็ต้องเสียเวลานานเท่าชีวิตของสัตว์ในภพภูมินั้นๆ ขณะที่เสียเวลายังต้องเสวยกรรมในกำเนิดนั้นไปด้วย ถ้าจิตดีสติพอประคองตัวได้ อย่างน้อยก็มาเกิดเป็นมนุษย์มากกว่านั้นก็ไปเกิดในเทวสถานชมวิมานและเสวยทิพย์สมบัติอยู่นานปีถึงจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ลามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่ลืมศีลธรรมที่ตนเคยบำเพ็ญรักษามาตั้งแต่บุพเพชาติ ทำให้เพิ่มอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารขึ้นโดยลำดับ จนจิตมีกำลังแก่กล้าสามารถรักษาตัวได้

<O:p</O:p
การตายก็เป็นเพียงการเปลี่ยนร่างจากต่ำขึ้นไปสูง จากสั้นไปหายาว จากหยาบไปหาละเอียดจากวัฏฏจักรไปเป็นวิวัฏฏจักร ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนเครื่องเสวยมาเป็นลำดับ สุดท้ายก็หมดสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอะไรต่อไปอีกเพราะจิตได้รับการอบรมไปทุกภพทุกชาติ จนฉลาดเหนือสิ่งใดๆ กลายเป็นนิพพานสมบัติขึ้นมาอย่างสมพระทัยและสมใจ ซึ่งล้วนไปจากการฝึกฝนอบรมจิตให้ดีไปโดยลำดับทั้งสิ้น. ด้วยเหตุนี้นักปราชญ์ทั้งหลาย จึงไม่ท้อถอยในการสร้างกุศล อันเป็นสวัสดีมงคลแก่ตนทุกเพศทุกวัยจนสุดวิสัยที่จะทำได้ไม่เลือกกาล.
เจโตปริยญาณ<O:p</O:p


มีอีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับอำนาจทิพยจักษุและเจโตปริยญาณของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ที่น่าพิจารณาว่า น่ามหัศจรรย์เพียงไร....

<O:p</O:p
สมัยเมื่อพระอาจารย์มั่นไปพักบำเพ็ญเพียรกรรมฐานอยู่ที่ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ท่านเล่าว่า ที่ชายเขาทางขึ้นไปถ้ำสาลิกาที่ท่านพักอยู่นั้น มีสำนักบำเพ็ญวิปัสสนาอยู่แห่งหนึ่ง มีขรัวตาองค์หนึ่งพักอยู่บำเพ็ญสมณธรรม

คืนวันหนึ่งพระอาจารย์มั่นคิดถึงขรัวตาองค์นี้ว่า ขรัวตากำลังทำอะไรอยู่หนอเวลานี้ แล้วพระอาจารย์มั่นก็กำหนดจิตส่งกระแสจิตลงมาดู ขณะนั้นพอดีเป็นเวลาที่ขรัวตากำลังคิดวุ่นวายไปกับกิจการบ้านเมืองครอบครัวของตนให้ยุ่งไปหมด เรื่องที่ขรัวตาคิดเกี่ยวกับอดีตของตัวเอง พอตกดึกพระอาจารย์มั่นก็ส่งกระแสจิตลงมาดูขรัวตาอีกก็พบว่า ขรัวตากำลังคิดห่วงลูกคนนั้นหลานคนนี้อยู่ร่ำไป จวนสว่างท่านส่งกระแสจิตลงมาดูอีก ขรัวตาก็ยังไม่หลับไม่นอนกระสับกระส่ายคิดห่วงหน้าพะวงหลังห่วงลูกห่วงหลานให้วุ่นวายไปหมด ท่านถอนใจเวทนายิ่งนักที่ขรัวตาอุตส่าห์มาบวชแล้ว ยังตัดภาระความผูกพันกับครอบครัวไม่ขาด คิดแต่จะสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างภพสร้างชาติสร้างวัฏฏสงสารไม่มีสิ้นสุดวิถีแห่งการปรุงแต่งเอาเสียเลย

<O:p</O:p
ตอนเช้าพระอาจารย์มั่นลงจากถ้ำมาบิณฑบาต ขากลับจึงแวะไปเยี่ยมขรัวตาถึงที่พัก แล้วพูดเป็นเชิงปัญหาว่า เป็นอย่างไรหลวงพ่อ ปลูกบ้านใหม่ แต่งงานกับคู่ครองใหม่แต่เป็นแม่อีหนูคนเก่าเมื่อคืนนี้ตลอดคืนไม่ยอมนอน เสร็จเรียบร้อยแล้วไปด้วยดีมิใช่หรือ <O:p</O:pคืนต่อไปคงจะสบายใจไม่ต้องวุ่นวายจัดแจงสั่งลูกคนนั้นให้ทำสิ่งนั้น สั่งหลานคนนี้ให้ทำงานสิ่งนี้อีกละกระมัง เมื่อคืนนี้รู้สกว่าหลวงพ่อมีงานมากวุ่นวายพอดูแทบมิได้พักผ่อนหลับนอนมิใช่หรือ ขรัวตาได้ฟังแล้วถึงกับตะลึงด้วยความอัศจรรย์ใจ แล้วยิ้มอายๆ ถามว่า พระอาจารย์มั่นรู้ด้วยหรือครับ <O:p</O:pพระอาจารย์มั่นยิ้มตอบว่า ผมเข้าใจว่า ความคิดปรุงของหลวงพ่อเป็นไปด้วยเจตนาและพอใจในความคิดนั้น ๆ จนลืมหลับลืมนอนไปทั้งคืน แม้แต่รุ่งเช้าตลอดมาจนถึงขณะนี้ ผมก็เข้าใจว่าหลวงพ่อจงใจคิดเรื่องนั้นอยู่อย่างเพลินใจจนไม่มีสติยับยั้งและยังพยายามทำตัวให้เป็นไปตามความคิดนั้น ๆ อยู่อย่างมั่นใจมิใช่หรือ

ขรัวตาได้ฟังถึงกับหน้าซีด<O:p</O:pเหมือนคนจะเป็นลม ทั้งอายและ<O:p</O:pทั้งกล้าพูดออกมาด้วยเสียงอันสสั่น<O:p</O:pเครือว่า ท่านพระอาจารย์เป็น <O:p</O:pพระอํศจรรย์มาก ผมคิดอะไรอยู่<O:p</O:pในใจท่านรู้หมด <O:p</O:pพระอาจารย์มั่นเห็นขรัว<O:p</O:pตางก ๆ เงิ่น ๆ ทั้งกลัวทั้งอาย <O:p</O:pท่านทำท่าจะเป็นลมเป็นแล้ง<O:p</O:pไม่สบายไปอย่างปัจจุบันทันด่วน<O:p</O:pก็ให้จิตเมตตาสงสาร ขืนพูด<O:p</O:pอะไรอีกต่อไป เดี๋ยวขรัวตาจะเป็น<O:p</O:pอะไรไปก็แย่

จึงเลยหาอุบายพูด<O:p</O:pไปเรื่องอื่นพอให้เรื่องจางหายไป แล้วก็ลาขึ้นถ้ำสาลิกา <O:p</O:pสายวัต่อมา โยมผู้ปฏิบัติ<O:p</O:pขรัวตาองค์นั้น ได้ขึ้นไปนมัสการ<O:p</O:pพระอาจารย์มั่นในถ้ำแล้วกราบ<O:p</O:pเรียนให้ทราบว่า ขรัวตาองค์นั้น<O:p</O:pหนีไปอยู่ที่อื่นเสียแล้วตั้งแต่เมื่อ<O:p</O:pเช้าวานนี้ ให้เหตุผลว่า อยู่ที่นี่ต่อไปไม่<O:p</O:pไหวแล้ว เพราะอาจารย์มั่น<O:p</O:pมาหา แล้วเทศน์อาตมาเสียยก<O:p</O:pหนึ่งหนัก ๆ อาตมาอายพระ<O:p</O:pอาจารย์มั่นแทบเป็นลมสลบไป<O:p</O:pต่อหน้าท่าน

<O:p</O:p
ถ้าพระอาจารย์มั่นขืนเทศน์ต่อไปอีกสักประโยคสองประโยค อาตมาต้องล้มตายต่อหน้าท่านแน่ ๆ อาตมาอยู่ไม่ได้แล้วอับอายขายหน้าเหลือประมาณ ต้องไปให้ไกลจากที่นี่สุดหล้าฟ้าเขียว อาตมาคิดอย่างไร พระอาจารย์มั่นท่านรู้เสียหมด<O:p</O:p
ธรรมดาปุถุชนก็ย่อมมีคิดดีบ้างชั่วบ้างเป็นธรรมดา จะห้ามไม่ให้คิดได้อย่างไร ทีนี้พอเราคิดอะไร พระอาจารย์มั่นรู้เสียหมดอย่างนี้อาตมาอยู่ไม่ได้แน่ หนีไปตายที่อื่นดีกว่า อย่าอยู่ให้พระอาจารย์มั่นคอยเป็นห่วงกังวลหนักใจด้วยเลย

<O:p</O:p
พระอาจารย์มั่นทราบแล้วก็บังเกิดความสลดใจ ที่ทำคุณให้โทษ โปรดสัตว์ได้บาป ที่พูดไปก็เป็นการเตือนขรัวตาด้วยเจตนาดีมีเมตตาสงสาร อยากให้หยุดคิด ห่วงกังวลครอบครัวลูกเมียและหลาน ๆ เสีย เพราะการสละเพศฆราวาสออกบวชพระนี้ ก็เป็นการตัดขาดจากครอบครัวลูกเมียและญาติพี่น้องโดยสิ้นเชิงแล้ว ตัดขาดจากทรัพย์สมบัติ ตัดขาดจากทางโลกโดยสิ้นเชิง เพื่อมุ่งบำเพ็ญเพียรสมณธรรม ทำให้แจ้งซึ่งมรรคผลนิพพาน ตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


<O:p</O:p
จากวั้นนั้นเป็นต้นมา พระอาจารย์มั่นก็ระวังมิได้สนใจคิดและส่งกระแสจิดไปถึงขรัวตาอีก และถือเป็นบทเรียนที่จะไม่ทักตักใจคนอื่นถึงความคิดนึกทั้งทางดีและชั่ว โดยไม่พิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนเดี๋ยวเจ้าตัวผู้ฟังจะเสียขวัญได้รับความกระทบกระเทือนใจโดยไม่จำเป็นอันการทักตักใจคนด้วย

เจโตปริยญาณนี้ดุจดาบสองคมพึงใช้ให้เป็น.ให้ถูกกาลเทศะ และตัวบุคคลถึงจะชอบถึงจะควรเพราะใจคนเราย่อมเหมือนเด็กอ่อนเพิ่งฝึกหัดเดินเปะปะไปตามเรื่อง ผู้ใหญ่เป็นเพียงคอยดูแลสอดส่อง เพื่อมิให้เด็กเป็นอันตรายเท่านั้นไม่จำเป็นต้องไปกระวนกระวายกับเด็กให้มากไป ใจของสามัญชนก็เช่นกันปล่อยให้คิดไปตามเรื่องถูกบ้างผิดบ้าง ดีบ้างชั่วบ้างเป็นธรรมดาจะให้ถูกต้องดีงามอยู่ตลอดเวลาจะให้ถูกต้องดีงามอยู่ตลอดเวลาย่อมเป็นไปไม่ได้


คำสอนพระเณร<O:p</O:p

ท่านพระอาจารย์มั่นมักจะเทศนาธรรมสั่งสอนพระเณรสานุศิษย์อยู่เสมอว่า ผู้ก้าวหน้าเข้ามาบวชพระพุทธศาสนา ก็คือผู้ก้าวเข้ามาหาความรู้ความฉลาด เพื่อคุณงามความดีทั้งหลาย มิใช่ว่าเข้ามาเพื่อสั่งสมความโง่เขลาเบาปัญญาต่อเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสตัวหลอกลวง แต่เพื่อบวชเข้ามาเพื่อแสวงหาอุบายปัญญาพลิกแพลงให้ทันเรื่องของกิเลสต่างหาก เพราะคนเราอยู่และไปโดย<O:p</O:p
ไม่มีเครื่องป้อวกันตัวย่อมไม่ปลอดภัยอันตรายทั้งภายนอกและภายใน

เครื่องป้องกันตัวของนักบวชคือหลักธรรมวินัยมีสติปัญญาเป็นอาวุธสำคัญ เป็นผู้มั่นคงต่อสิ่งทั้งหลายไม่สะทกสะท้าน จึงควรเป็นผู้มีสติปัญญาแฝงอยู่กับตัวทุกอริยาบท จะคิดจะพูด จะทำอะไร ๆ ก็ตาม ไม่มีการยกเว้น สติปัญญาที่จะไม่เข้ามาสอดแทรกอยู่อยู่ในวงงานที่ที่ทำทั้งภายนอกและภายใน จะเป็นที่แน่นอนต่อคติของคนทุก ๆ ระยะไป

พระเณรจะต้องเป็นผู้มีความเข้มแข็งต่อแดนพ้นทุกข์ด้วยความเพียรทุกประโยคที่เต็มไปด้วยสติปัญญาเป็นหัวหน้างาน ไม่งุ่มง่าม เขอะขะต่อตัวเองตลอดธุระหน้าที่<O:p</O:p
ทั้งหลาย พบกับศาสนายอดเยี่ยมด้วยหลักธรรมที่สอนคนให้ฉลาดทุกแง่มุม พระเณรไม่ควรเป็นคนอ่อนแอโง่เง่าเต่าตุ่นวุ่นวายอยู่กับอารมณ์เครื่องผูกพันด้วยความนอนใจและเกียจคร้านในกิจการที่จะยกตนให้พ้นจากวัฏฏสงสาร พระจึงเป็นผู้ที่พร้อมแล้วเพื่อข้ามโลกสงสารวัฏฏ ไม่มีงานใดจะหนักหน่วงถ่วงใจยิ่งกว่างานยกจิตให้พ้นทุกข์จากห้วงแห่งวัฏฏทุกข์

งานนี้เป็นงานที่ต้องทุ่มเททั้งกายและใจ แม้ชีวิตก็ยอมสละไม่อาลัยเสียดาย จะเป็นจะตายก็มอบไว้กับความเพียร เพื่อรื้อถอนตนให้พ้นจากหลุมลึกคือกิเลสทั้งมวล เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเกิดแบกหามบาปหาบกองทุกข์นานาชนิดอีกต่อไป





เจโตต่อพระอุบาลี

เรื่องทิพยจักขุและเจโตรปริยญาณของพระอาจารย์มั่น ที่ท่านแสดงอีกคราวหนึ่งคือ ก่อนที่ท่านจะอำลาจากถ้ำสาลิกามานั้นตอนกลางคืนดึกสงัดราวตี 4 ท่านคิดถึงท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจน<SUB>.</SUB>โท) วักบรมนิวาส พระนครว่า เวลานี้ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ กำลังทำอะไรอยู่หนอ จึงกำหนดจิดจากถ้ำสาริกา เขาใหญ่มาดูท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ที่กรุงเทพฯพลันก็ทราบว่า เวลานั้น<O:p</O:p

<?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:line id=_x0000_s1026 style="Z-INDEX: 1; POSITION: absolute" to="108pt,0" from="-9pt,0"></v:line>ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ กำลังพิจารณาปัจจยาการคืออวิชชาอยู่ พระอาจารย์มั่นทราบใจท่านเจ้าคุณพระอุบาลีโดยตลอดแล้วก็จดจำวันเวลาไว้อย่างแม่นยำ ครั้นเวลาเดินทางลงมากรุงเทพฯ เมื่อได้มีอกาสเข้านมัสการท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ก็เรียนให้ท่านทราบถึงเรื่องที่ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ พิจจารณาปัจจยาการคือ อวิชชาอยู่ในคืนก่อน ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ พอได้ทราบเช่นนั้นก็ตะลึงเลยต้องสารภาพว่า เป็นความจริงทุกประการ แล้วต่างฝ่ายก็พากันหัวเราะพักใหญ่ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ได้กล่าวชมเชยว่าท่านมั่นนี้เก่งจริง ๆ เราเองขนาดเป็นอาจารย์แต่ไม่เป็นท่า น่าอายท่านมั่นเหลือเกิน ท่านมั่นเก่งจริงให้ได้อย่างนี้ซิลูกศิษย์พระตถาคต ถึงจะเรียกว่าเดินตามครู



โพสต์โดยสมาชิกหมายเลข 3113 วันที่ 6 ต.ค. 2552

ชุดไทยจิตรลดา โทนสีดำ ตัดเย็บจากผ้าไหมแพรทิพย์ งานละเอียดปราณีต แพทเทิร์นเข้ารูป สวยหรู ทันสมัย #ภาพถ่ายจากสินค้าจริง

฿1,790

https://s.shopee.co.th/8ANnSpUT4P?share_channel_code=6


ยอดอริยะแห่งยุค พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ชีวประวัติธุดงควัตร ปฏิบัติธรรมขั้นสูง...ยอดอริยะแห่งยุคพระอาจารย์มั่นภูริทัตโตชีวประวัติธุดงควัตรปฏิบัติธรรมขั้นสูง...

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

การดูแลสุขภาพในหน้าหนาว

การดูแลสุขภาพในหน้าหนาว


เปิดอ่าน 8,290 ครั้ง
ทะเลงาม...

ทะเลงาม...


เปิดอ่าน 8,292 ครั้ง
ภาพ  เสียค่าปรับ

ภาพ เสียค่าปรับ


เปิดอ่าน 8,292 ครั้ง
เธอ.....นั่นแหละที่ผิด?

เธอ.....นั่นแหละที่ผิด?


เปิดอ่าน 8,288 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

เคยมีอาการหูผึ่ง อยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นหรือเปล่า ?

เคยมีอาการหูผึ่ง อยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นหรือเปล่า ?

เปิดอ่าน 8,288 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
เจ้าหญิงวุ่นวาย เจ้าชายเย็นชา 7
เจ้าหญิงวุ่นวาย เจ้าชายเย็นชา 7
เปิดอ่าน 8,294 ☕ คลิกอ่านเลย

ภาษาจีนในภาษาไทย
ภาษาจีนในภาษาไทย
เปิดอ่าน 9,263 ☕ คลิกอ่านเลย

บทความ
บทความ
เปิดอ่าน 8,289 ☕ คลิกอ่านเลย

4ประโยคที่ผู้ชายชอบที่สุด
4ประโยคที่ผู้ชายชอบที่สุด
เปิดอ่าน 8,292 ☕ คลิกอ่านเลย


'กรอบ'
เปิดอ่าน 8,290 ☕ คลิกอ่านเลย

"นอนกรน" หลับลึกหรือหลับร้าย?
"นอนกรน" หลับลึกหรือหลับร้าย?
เปิดอ่าน 8,292 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

การแปรผลเมื่อใช้เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแบบมาตราส่วนประมาณค่า
การแปรผลเมื่อใช้เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแบบมาตราส่วนประมาณค่า
เปิดอ่าน 23,465 ครั้ง

100อันดับโรงเรียนดีที่สุดปี58
100อันดับโรงเรียนดีที่สุดปี58
เปิดอ่าน 109,964 ครั้ง

พระรัตนตรัย
พระรัตนตรัย
เปิดอ่าน 6,335 ครั้ง

ราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368)
ราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368)
เปิดอ่าน 22,728 ครั้ง

6 วิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อสุขภาพช่องปาก
6 วิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อสุขภาพช่องปาก
เปิดอ่าน 11,267 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ