Advertisement
Advertisement
ต้องยอมรับว่าคนไทยเรานอนกรนกันไม่น้อยหน้าชาติใดในโลก
ศ.น.พ.ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ หัวหน้าศูนย์เพื่อคุณภาพการนอนหลับ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บอกว่า นอนกรนเกิดจากการที่ช่องคอแคบลงมากกว่าปกติในขณะหลับ ทำให้ลมหายใจเข้า-ออกแรงขึ้น โดยเนื้อเยื่อของผนังคอ เพดานอ่อน ลิ้นไก่ และโคนลิ้นมีการสั่นสะเทือนจนเกิดเสียงดังขึ้น
โดยคนที่มีอาการมากจะพบว่าผนังคอยุบตัวลงจนอากาศไม่สามารถผ่านไปได้ชั่วขณะ หรือเรียกว่า การหยุดกายใจ ขณะหลับ ทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบตามไปด้วย
เพราะมันอาจจะเกิดความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมอง ขาดเลือด เบาหวาน อัมพฤกษ์ อัมพาต สมรรถภาพทางเพศเสื่อม ความจำถดถอย ง่วงนอนกลางวัน หลับใน
ซึ่งมีสถิติที่น่ารู้เกี่ยวกับการนอนกรน...
ผู้ชายสูงอายุนอนกรนมากถึงร้อยละ 28-30
ผู้หญิงสูงอายุและอยู่ในวัยหมดประจำเดือนนอนกรน ร้อยละ 20-54
ผู้ที่นอนกรนเป็นประจำจะมีการหยุดหายใจร่วมด้วยร้อยละ 20
มักพบอาการหยุดหายใจขณะหลับในคนอ้วน และมากกว่า ร้อยละ 60 ในกลุ่มผู้มีอาการหยุดหายใจขณะหลับจะมีความผิดปกติบริเวณจมูกหรือเพดานอ่อน ลิ้นไก่ยาว ต่อมอะดีนอยด์โต ทอนซิลโต ลิ้นโต คอสั้น คางเลื่อนไปด้านหลัง หรือคางเล็ก
ผู้ที่มีอาการหยุดหายใจขณะหลับ ร้อยละ 33 จะง่วงนอนมาก ผิดปกติในตอนกลางวัน
ผู้ที่มีอาการง่วงนอนมากผิดปกติในตอนกลางวัน ร้อยละ 40 มักมีการหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย
ผู้ที่มีอาการง่วงนอนมากผิดปกติในตอนกลางวัน มักเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานเทียบกับผู้ที่ไม่มีอาการเท่ากับร้อยละ 52 : 36
ผู้ที่มีอาการหยุดหายใจขณะหลับมักขับรถประสบอุบัติเหตุมากกว่าคนทั่วไปถึง 7 เท่า
ผู้ที่มีการหยุดหายใจขณะหลับในระดับรุนแรงน้อย คือ น้อยกว่า 15 ครั้งต่อชั่วโมง จะมีอัตราการเสียชีวิตจากการ หยุดหายใจขณะหลับเฉลี่ยร้อยละ 8 หากหยุดหายใจมากกว่า 15 ครั้งต่อชั่วโมงจะมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10-16 และเมื่อเทียบกับคนปกติแล้วจะมีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงกว่า 2-3 เท่า เสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่า 2 เท่า และเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองมากกว่า 3 เท่า
กลุ่มผู้ที่มีการหยุดหายใจขณะหลับซึ่งได้รับการรักษาอย่างเต็มรูปแบบ ไม่พบว่ามีผู้เสียชีวิตในช่วงการติดตามผลในระยะ 8 ปี ขณะที่กลุ่มผู้ซึ่งไม่ได้รับการรักษาจะพบอัตราการเสียชีวิตจากการหยุดหายใจขณะหลับร้อยละ 11 ภายในระยะเวลา 5 ปี หลังจากที่ตรวจพบว่ามีอาการ ซึ่งสถิติของทั้งสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
แต่ในปัจจุบันอาการนอนกรนรักษาให้หายได้ ท่านสามารถหาความรู้เรื่องนอนกรนเพิ่มเติมได้จากหนังสือ "นอนกรน" เขียนโดย ศ.น.พ.ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์
ขอบคุณที่มาจาก http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1292817663&grpid=07&catid=00
Advertisement
|
เปิดอ่าน 1,471 ครั้ง |
เปิดอ่าน 10,136 ครั้ง |
เปิดอ่าน 13,296 ครั้ง |
เปิดอ่าน 10,791 ครั้ง |
เปิดอ่าน 37,220 ครั้ง |
เปิดอ่าน 15,946 ครั้ง |
เปิดอ่าน 283,494 ครั้ง |
เปิดอ่าน 24,870 ครั้ง |
เปิดอ่าน 21,398 ครั้ง |
เปิดอ่าน 49,627 ครั้ง |
เปิดอ่าน 14,558 ครั้ง |
เปิดอ่าน 19,232 ครั้ง |
เปิดอ่าน 17,442 ครั้ง |
เปิดอ่าน 12,335 ครั้ง |
เปิดอ่าน 10,558 ครั้ง | |
|

เปิดอ่าน 8,061 ☕ คลิกอ่านเลย |

เปิดอ่าน 9,836 ☕ คลิกอ่านเลย | 
เปิดอ่าน 15,078 ☕ คลิกอ่านเลย | 
เปิดอ่าน 16,339 ☕ คลิกอ่านเลย | 
เปิดอ่าน 15,981 ☕ คลิกอ่านเลย | 
เปิดอ่าน 13,812 ☕ คลิกอ่านเลย | 
เปิดอ่าน 20,621 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡ 
เปิดอ่าน 5,153 ครั้ง | 
เปิดอ่าน 73,770 ครั้ง | 
เปิดอ่าน 8,552 ครั้ง | 
เปิดอ่าน 15,843 ครั้ง | 
เปิดอ่าน 3,588 ครั้ง |
|
|