Advertisement
www.tookaa.com
|
|
How To Learn English
|
|
>>
|
1: Good Habits
More chapters coming soon!
|
|
|
|
|
What's wrong with you?
|
See if this decribes you: คุณเรียนภาษาอังกฤษ ในโรงเรียน มาหลายปีแล้ว และแต่ละเทอม คุณก็สอบผ่าน และขึ้นไป สู่้ชั้นต่อไป ระดับยาก ขึ้นไป แต่ตอนนี้ หลังจากร่ำเรียนมา อ่านตำรา จนปวดหัว คุณก็ยังคง พูดและเขียน ประโยคยาวๆ ยังไม่ได้ และเมื่อคุณทำ แกรมม่าของคุณก็ผิด เกือบหมด แต่ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อชาวต่างชาติ เข้ามาหาคุณ สมองของคุณ ก็จะแข็งกระด้าง เหมือนน้ำแข็ง ขั้วโลกเหนือ และคุณก็รู้สึก เหมือนว่า คุณลืม ภาษาอังกฤษ ที่คุณมีอยู่แล้ว ไปมดเลย
แต่คุณ ไม่ได้ลืม ภาษาอังกฤษ จริงๆ แล้ว คุณไม่ได้ เรียนมัน ตั้งแต่แรก
|
The good, the bad and the ugly:
|
คุณสามารถ เล่นบาสเก็ตบอล หรือ เล่นเปียนโน โดยการดู จากการเป็นฝ่ายคนดู และไม่เคยลองเล่นจริงๆ ด้วยตัวของคุณเอง คุณจะเล่น เป็นมั้ย? แน่ละ เป็นไปไม่ได้ แต่นักเรียนไทย ส่วนใหญ่ ทำแบบนั้น เมื่อพวกเขาเรียนภาษาอังกฤษ ดูรูปภาพ ด้านล่าง ซึ่งแสดง ให้เห็น วิธีการ ง่ายๆ ที่จะคิด เกี่ยวกับ ว่า จะเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ ได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่ คนที่ เก่งภาษาอังกฤษ เขาทำกัน:
มันเป็น สิ่งที่ ธรรมดา ง่ายๆ: ภาษาอังกฤษ เข้าไป และภาษาอังกฤษ ออกมา ถูกเปลี่ยนเป็น เรื่องราวต่างๆ ของนักเรียนเอง กลายเป็นความคิด และ ข้อคิดเห็น ของนักเรียนเอง แต่นักเรียน ในประเทศไทยไม่ได้ทำ เช่นนั้นเขาทำ อย่างอื่น อย่างเช่น:
ภาษาอังกฤษ เข้าไป แต่ภาษาอังกฤษ จริงๆ ไม่เคย ออกมา พวกเขาอาจจะ คิดว่า พวกเขา เข้าใจ สิ่งที่เขาได้ยิน และอ่านมา และพวกเขา อาจจะ ได้ไอเดียดีๆ จากสิ่งที่ เจ้าของภาษา เขาคุยกัน แต่พวกเขา ไม่เคยเอา ความคิด ไอเดีย ของตัวเอง ออกมาผสมกัน ตั้งแต่คำแรก แล้วพูดออกมาจากปากตัวเองเลย แต่ ได้แต่ หรี่ตามอง ไปที่ แบบฝึกหัด เติมคำ ในช่องว่าง และสอบ ข้อสอบ ทีมี ตัวเลือก เท่านั้น อันนี้ ไม่ใช่ ภาษาอังกฤษ ในตอนท้าย พวกเขาก็ ไม่สามารถทำอะไร กับภาษาอังกฤษได้ เเละส่วนใหญ่ ก็มักจะลืมไปหมด เเต่ที่เเย่กว่า นั้นก็คือ:
นักเรียนหลายต่อ หลายคนไม่ได้ มีภาษา อังกฤษที่เเท้จริง เข้าไปตั้ง เเต่เเรก ไม่ต้อง พูดถึงภาษา อังกฤษ ออกเลย ไม่เพียง เเต่ว่า พวกเขา ไม่ได้ฝึก การใช้อะไรเลย เเต่พวกเขา ไม่เคยเห็นว่า ภาษาอังกฤษ มันใช้อย่างไร ในชีวิตจริง เมื่อภาษาอังกฤษจริงๆ เดินมาหาพวกเขา พวกเขาจะช๊อค เเละจะไม่เข้าใจอะไรเลย หลังจาก หลายปีที่เรียนมา มันเป็นการสูญเสียเวลา ที่น่าเศร้า นะ?
ความจริง ก็คือ การเข้าใจ ไม่เหมือน กับ การทำ และภาษา อังกฤษ ก็เป็นสิ่งหนึ่ง ที่คุณ ทำ: คุณฟัง และอ่าน จากนั้น คุณ เขียน และพูด มันเป็นสิ่ง ที่สำคัญมาก ที่จะเข้าใจ กฏ แกรมม่า ทั้งหมด แต่คุณ ต้องเรียนรู้ ที่จะใช้มัน ในชีวิตจริง และทำจริงๆด้วย เกรดที่คุณได้ ที่โรงเรียน ไม่ว่าดี หรือ เลว ไม่ได้ เป็นเครื่องวัด ความสามารถ ภาษาอังกฤษ ของคุณ และก็ อย่างโชคร้าย เพราะขนาดนักเรียน ในห้องเรียน ของเมืองไทย มีนักเรียน มากเกินไป (ไม่รวมถึง การสอน แบบโบราณ) นักเรียน ส่วนน้อย มีโอกาส ที่จะได้ฝึก ภาษาอังกฤษ ของจริง ในโรงเรียน
|
แต่คุณ ไม่ควร ยกเลิก หรือ ยอมแพ้ มีเรื่องที่มากกว่านี้ มากกว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ในโรงเรียน ถ้าคุณ ไม่สามารถ พูด หรือ เขียน หลังจากเรียน ได้หลายปี ปัญหาต่างๆ ของคุณ อาจจะมาจากคุณ เรื่องจริง ก็คือ มีนักเรียน บางคน บางกลุ่ม คนที่เก่ง ใช้ ภาษาอังกฤษได้ หลังจากที่ร่ำเรียน วิธีเดียวกันกับคุณ ดังนั้น มันต้องมี ความลับ ใช่มั้ย? มันคงไม่ใช่ เป็น ยี่ห้อ ล่าสุด ของ talking dictionary มันคง ไม่ใช่ แผ่น computer chips ทีปลูก ลงไปบนสมองของเขา และเราไม่ได้ พูดถึง คนกลุ่มเล็ก คนที่เก่ง มากๆ คนที่เราอาจ เรียก ได้ว่า "อัจฉริยะ ด้านภาษา" ทีดูดซับ ความรู้ เหมือนฟองน้ำ แต่ เราจะพูดถึง นักเรียน ปกติธรรมดา เท่านั้น คุณอยากรู้มั้ย?
|
ในฐานะ ทีเป็น ครู เราได้ สังเกตุเห็นว่า สิ่งที่นักเรียน ที่เก่งมี เหมือนๆ กัน คืออะไร บางที่ อาจเป็นได้ ตามธรรมชาติ หรือ อาจเป็นเพราะ พ่อแม่ ของเขา (หรือ บางครั้ง เพราะว่า เขามี เพื่อนที่ดี ที่ฉลาด ที่มี อิทธิพล ต่อเขา ก็ได้) พวกเขา ไม่ได้ ทำตัว เหมือน นักเรียน อื่นๆทั่วไป เอาละ ลอง มาคุย กัน เกี่ยวกับ เรื่องนี้ กันเถอะ!
|
อะไร คือ ความลับ ของนักเรียน คนเก่ง เหล่านั้น คนที่ เรียน ได้ เร็วที่สุด และลึก ที่สุด?
|
|
|
|
|
ความลับที่ #1: ผู้เรียน ที่ดี นำทำบทเรียน ของเขา เข้าสู่ การทำ พวกเขา เปลี่ยน การเรียน เข้าสู่การใช้ เร็วเท่าที่ เขาสามารถ ทำได้ ตัวอย่าง เช่น เมื่อเขา เรียนรู้ บางสิ่ง หรือ แม้แต่อ่าน บางอย่าง พวกเขา ก็พยายาม พูดออกมาจากปาก เพื่อให้รู้ว่า มันรู้สึก และออกเสียง อย่างไร เมื่อเขาพูดออกมา พวกเขาลองเขียน ประโยคใหม่ เพื่อให้รู้ว่า พวกเขา สามารถทำด้วยตัวเขาเองได้หรือไม่ วิธีการ แบบนั้น ภาษาใหม่ ก็เข้าไป ใน "เส้นใย ของภาษา" ในสมอง ของพวกเขา
|
นักเรียนขี้หมา คนที่ไม่ใส่ใจ ไม่เคยทำอะไร กับสิ่งที่ เขาเรียนมา พวกเขา ได้แต่ จ้องไปที่กระดาษ หรือ ไปที่ กระดาน พวกเขายิ้ม แต่ไม่พูด พูดแต่ว่า "เข้าใจ ครับ" แล้วพวกเขา ก็รอแต่จะสอบ ถ้าสอบผ่าน เขาก็ รู้สึกว่า เขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
|
|
ความลับ #2: เป็นส่วนหนึ่ง ของการ ใช้ภาษาอังกฤษ นักเรียน ที่ดี ถามคำถาม อย่างสม่ำเสมอ อย่างเช่น "How do I say 'ตุ๊กแก' in English?" หรือ "Is it correct if I say 'blah blah blah'?" หรือ "Why did he say 'blah blah' and not 'blah blooh'?" พวกเขา ลองใช้ คำใหม่ๆ มาผสมกัน และ พวกเขา ชอบที่จะถามว่า มันใช้ได้ หรือไม่ พวกเขา ไม่กลัวครู
|
นักเรียน เฉื่อย ไม่เคยถามคำถาม และรับเอา ทุกอย่าง ที่เข้ามา ไม่ว่า เขาจะเข้าใจ เรื่องนั้น จริงๆ หรือไม่ก็ตาม พวกเขา ไม่เคย พยายามลอง เอาคำศัพท์ มาทำเข้ากันใหม่ ด้วยตัวของเขาเองเลย ได้แต่จำ สิ่งที่ คุณครู ให้มา, บ่อยครั้ง ที่พวกเขา กลัวครู หรือ ไม่ก็ กลัวฝรั่ง
|
|
ความลับ #3: ผู้เรียนที่ดี ไม่กลัว ทำผิด ไม่เคยขอโทษ ตอนที่ ทำผิด และมองหา ข้อแก้ไขเสมอๆ แนวทางนี้ พวกเขา เรียนรู้ จากทุกๆ คำผิด และภาษาอังกฤษ ของเขา ค่อยๆ ดีขึ้น ใสขึ้น จนกระทั่ง คำผิดต่างๆ ก็หายไป พวกเขา ไม่กังวลว่า คนอื่นๆ จะมองเห็นเขา เป็นคนโง่ หากเขาทำผิด พวกเขารู้ว่า พวกเขา กำลังเดินอยู่บนถนน ของการเรียนรู้ ซึ่งเต็มไปด้วย กับดัก และหลุมบ่อ พวกเขาแค่ หัวเราะ (สบถหรือด่า หยาบคาย) เมื่อเขาล้มลง,ลุกขึ้น และเดินต่อไป และ พวกเขาจำได้ ว่า กับดัก และ หลุมบ่อ ทุกอัน อยู่ที่ไหน คราวหน้า เขาไม่ยอม ผิดพลาดแน่
|
นักเรียนเสล่อ กลัว ที่จะแสดง ว่า เขาไม่รู้ ดังนั้น เขาก็ยังคง ไม่รู้ อีกต่อไป เขาคิดว่า การทำผิด เป็นสิ่ง ไม่ดี ดังนั้น เขาจึงไปแบบช้าๆ และอายๆ เมื่อการเรียนรู้ ของเขา สะดุด ตกลงไปในหลุม เขาแช่งด่า ตัวเอง และร้องไห้ และขอโทษ หรือไม่ ก็ตำหนิ แม้แต่ คุณครู ผู้สอน พวกเขาไม่เคย กล้า ที่จะกลับมา สู้ ที่เดิม อีกครั้ง แต่กลับ ยอมแพ้ และบอกว่า "ภาษาอังกฤษผม ไม่เก่ง"
|
|
ความลับ #4: ผู้เรียน ที่ดีีี รู้จั ผสม การเรียนรู้ ใหม่ๆ กับสิ่งที่ เขารู้อยู่แล้ว และพยายาม ที่จะใช้มันด้วยกัน ในแนวทางนี้ เขาได้สร้าง องค์ความรู้ ภาษาอังกฤษ ของเขา ให้สูงขึ้น และสูงขึ้น พวกเขา ใช้ พื้นฐาน ภาษาอังกฤษ ที่ได้เรียนรู้มา และภาษาอังกฤษ ที่ใช้ ในชีวิต ประจำวัน และนำไปใช้ีอีกครั้ง เสมอๆ จากนั้น เขาพยายาม ทีจะเพื่มเติม บางอย่าง เข้าไป เพื่อทำให้มันดีขึ้น แต่ละระดับใหม่ ของความยาก เป็นเพียงขั้นตอนเล็กๆ ของคนเก่งเหล่านี้ เท่านั้น
|
นักเรียน เสล่อ ลืม สิ่งที่เขาเรียนมา ก่อน จากนั้น ก็ เรียนสิ่งใหม่ แล้วก็ลืมอีก พวกเขา ไม่มีอะไร ในสมอง มากกว่า บทเรียนที่พึ่งจะเรียนมา บ่อยครั้ง ที่เขาลืม คำศัพท์ที่เขาเรียน ตอนชั้นประถม เมื่อพวกเขามาเรียน ชั้นยากขึ้น เขาก็ไม่สามารถใช้ สิ่งที่ เขาเรียนมา ได้เลย เพราะเขาลืม พื้นฐาน ภาษาอังกฤษ ที่เขาต้องมี
|
|
ความลับ #5: ผู้เรียนที่ดี พยายามที่จะพูดถึง ความรู้สึก จริงๆ ของเขา, พูดถึง ความคิดเห็นของเขา, และบอกเล่าถึง เรื่องราวของเขา พวกเขาจินตนาการ ทุกสิ่ง ในโลกของเขา แล้วเปลี่ยนเป็น ภาษาอังกฤษ ในแนวทางนี้ เขาใช้ ภาษาอังกฤษ เป็นส่วนหนึ่ง ของตัวเขา แทนที่ จะใช้แต่ในหนังสือ นี่อาจจะดูเป็น เรื่องที่ใหญ่ เกินไป สำหรับ คนที่เรียนภาษา จะทำ แต่จริงๆ แล้ว พวกเขาเริ่มด้วยสิ่งเล็กๆ และสร้างมันจากตรงนั้น เมื่อมี ชาวต่างชาติ เดินผ่านมา ในชีวิต พวกเขาก็จะ สามารถพูด เกี่ยวกับตัวเขา และโลกของเขาได้
|
นักเรียนเสล่อ มองภาษาอังกฤษ เป็นเสมือน บางสิ่ง จากครู และจากหนังสือ แล้วก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้น พวกเขา ไม่ได้ใช้มัน สำหรับตัวเขาเอง เมื่อชาวต่างชาติ มาพบเจอ เขาก็ไม่รู้ ว่าจะตอบ คำถาม เกี่ยวกับตัวเขา หรือ เขาอาศัย อยู่ที่ไหน ได้อย่างไร
|
|
ความลับ #6: นักเรียนที่ดี เชื่อว่า เขาควรจะสามารถ ที่จะพูดและเขียน ภาษาอังกฤษได้ ถ้าเขาพยายาม และได้รับความช่วยเหลือ เช่นเดียวกับ เรื่องทั่วๆไป เมื่อคุณพยามยาม และได้รับการช่วยเหลือ มันอาจใช้ เวลานาน แต่คุณก็สามารถทำได้
|
นักเรียนเสล่อ เห็นภาษาอังกฤษ เป็นเสมือน สิ่งหนึ่ง ที่เขาจะไม่สามารถ ทำได้ เลย และก็ไม่ประหลาดใจ หรือ เสียใจ เมื่อ เห็นตัวเขา อยู่ใน ระดับเดิมๆ ตลอดเวลา, ก็เป็น เรื่องธรรมดา ที่เขาจะไม่ไป ถึงดวงดาว
|
|
ความลับ #7: ผู้เรียนที่ดี ไม่เคยยกเลิก หรือ ยอมแพ้ คุณเคยเห็น ภาพยนตร์ เร็วๆ ที่เราเห็น คนหรือ รถ กำลังวิ่งเข้า และออก แต่บางสิ่ง เหมือนกับต้นไม้ และตึกไม่เคยขยับเขยื้อน? จากสายตา ของครู ผู้เรียนที่ดี เหมือนกับสิ่งที่ ไม่เคยขยับเขยื้อน ขณะที่นักเรียน คนอื่นๆ ไปๆมาๆ การเรียนรู้ ของผู้เรียนที่ดี ไม่เคยแตกสลาย ตามกาลเวลา ที่ล่วงเลย ดังนั้น เขาจึงลืมไม่มากนัก
|
นักเรียนที่เหลวไหล ยกเลิก ยอมแพ้ อย่างง่ายๆ พวกเขาต้องการ สิ่งที่ง่าย และชัดเจน และเมื่อ มันไม่เป็น เช่นนั้น เขาก็วิ่งหนีไป หลายสิบปีที่ การศึกษาไทย ได้ดำเนินการแบบผิดๆ ในการให้ นักเรียน มีข้อมูล ชิ้นหนึ่ง ให้จำ และข้อสอบ ปรมัยให้เลือก ก-ง ดังนั้น เมื่อมีคน ขอร้องให้ นักเรียนคิดด้วยตัวเอง แม้แต่นิดเดียว นักเรียน ก็จะคิดว่ามันยากมาก เพราะพวกเขา รู้จักแต่จะเลือก คำตอบ จากตัวเลือก ที่มีให้ เท่านั้น มันใช้การคิด เพื่อที่จะเห็นจริงว่า ทุกส่วนของภาษาอังกฤษมัน ทำงานประสานกันอย่างไร และต้องทำด้วยตัวเอง ซึ่งก็มากเกินไป ที่จะขอร้องนักเรียนไทยให้ทำ (ถึงแม้ว่า มันไม่ยากก็ตาม) เขาจึงวิ่งหนีไป จากนั้น ก็กลับมาอีก เพราะ้ต้องกลับมา ไม่นาน เขาก็วิ่งหนี อีกครั้ง หรือไม่ก็ มองหาครููใหม่ เผื่อว่า จะทำให้ภาษาอังกฤษ มันชัดเจนขึ้น โดยที่เขานั่งเปล่าๆ ไม่ทำอะไรเลย
|
|
ความลับ #8: ผู้เรียนที่ดี รู้ว่ากลยุทธ์ของการเรียนรู้ มีเพียงว่า ทำงาน และอดทน เขารู้ว่าการเรียนเป็นงานของเขา และเขาต้องทำอะไร ด้วยตัวเขาเอง, ไม่ใช่ได้แต่นั่งเฉยๆ
|
นักเรียนทะลึ่ง หาทางลัด และเสาะหา "เทคนิคพิเศษ" หรือ กลไกต่างๆ ที่จะช่วยให้เขาสอบผ่าน ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังต้องการให้ครู ทำงานส่วนใหญ่ให้เขา เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องคิด
|
|
ความลับ #9: ผู้เรียนที่ดี ไม่ตามเพื่อน พวกเขาใส่ใจแต่ว่า พวกเขากำลังเรียนอยู่ จริงหรือไม่ พวกเขาไม่คัดลอกการบ้านของเพื่อน พวกเขาไปเรียน โดยไม่ได้กังวลว่า เขาจะมีเพื่อนนั่งด้วยหรือไม่ เขาไม่ปล่อยให้ความทะลึ่งของเพื่อน หันเหความสนใจ หรือปล่อยให้เพื่อนพังแผนของเขาได้ พวกเขา ทำตัวเอง ให้ความก้าวหน้า เป็นเส้นตรง ตามที่เขาจำเป็นต้องทำ ไม่ได้ทำตามสิ่งที่ เพื่อนทะลึ่งของเขาต้องการ เพียงเพื่อ ทำบางอย่าง ให้้ชีวิตมันง่ายขึ้น เท่านั้น
|
นักเรียนเหลวไหล ทำุทุกสิ่งเป็นฝูง เหมือนวัว หรือ (พูดได้มั้ยหนอ ควาย) พวกเขาทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ได้ หรือคิดเองก็ไม่ได้ พวกเขาวางแผนที่จะไปเรียนด้วยกัน กับเพื่อนๆ และแทบทุกครั้ง ที่หนึ่งหรือสอง ในกลุ่ม เพื่อนมีปัญหา และแผนที่วางไว้็ พังทลาย การเรียน ของพวกเขา ไม่เคยมุ่งมั่น เป็นเส้นตรง และบ่อยครั้งก็เป็นไป ทางตรงกันข้าม
|
|
|
|
|
ความลับ #10: ผู้เรียนที่ดี จดโน๊ตเป็นตอนเรียน ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่า เขาจดทุกสิ่งที่ครูพูด เหมือนกับหุ่นยนตร์ที่ตื่นกลัว ซึ่งหมายถึงเขาพยายาม ที่จะเรียบเรียงบทเรียน ในวิธีการที่เขาสามารถอ่าน และเข้าใจในตอนหลัง ข้อมูลที่เขาบันทึก ช่วยเขา เมื่อคำพูดของครู เลือนหายไป จากสมองของเขา ดังนั้น เขาจดเพื่อที่ มันจะ มีเหตุมีผล เข้าใจได้ ในอนาคต จดสิ่งที่ีมี ความคิดหลักใหญ่ก่อน และความคิดย่อยๆ ตามมา ถ้ามีเวลา ที่จะเขียน
ในการทำแบบนั้น พวกเขาต้องแน่ใจว่า เขาฟังครู ตลอดเวลา ไม่ได้แค่คัดลอก จากกระดาน เหมือนคนโง่ หลายๆไอเดียหลัก จะมาจากปากของครู และไม่ค่อย ได้เขียนลงบนกระดาน สิ่งที่เขาเขียน อาจจะ ดูแตกต่าง จากสิ่งที่ครูเขียน เพราะมันจะต้องรวม ไอเดียที่พูดออกมาด้วย และมันเป็นการเขียน เพื่อตัวเขาเอง ไม่ได้เขียนให้ครู พวกเขาอาจเขียน เป็นกล่อง หรือลูกศร หรือขีดเส้น เพื่อที่จะ แยกหรือเชื่อมไอเดียต่างๆ คลิก ที่นี่ เพื่อไปหา เทคนิคการจดบันทึก
และ, สมุดจดโน๊ต ของนักเรียนที่ดี จะถูกรวบรวม เพื่อที่จะช่วยเขา หาสิ่งที่เขาต้องการตอนหลัง บ่อยครั้ง ที่มันออกมารูปนี้: งานประจำวัน และโน๊ตที่เขาจดอยู่ด้านหน้า จะลำดับแบบไหน ก็ได้ แต่มี หน้าพิเศษ อยู่ด้านหลังสมุด เพื่อแยกประเภท เช่น คำกิริยา, คำสำนวน, คำคุณศัพท์, ตัวอย่างหลักไวยากรณ์ 9ล9 สิ่งที่เขาคิดว่า สำคัญ จะถูกใส่ไว้ หน้าหลัง ตามประเภทของมัน วิธีการนี้ พวกเขา จะสามารถหาสิ่งที่เขาลืมได้ อย่างรวดเร็ว คุณจะเห็นพวกเขา จดโน๊ต ในขณะเรียนเป็นลำดับ จำแนก ตามหัวข้อแต่ละอัน
เช่นเดียวกัน, เมื่อเขาจดโน๊ต พวกเขาเกลียดการเขียนสิ่งที่ เขาไม่เข้าใจ ถ้าเขารู้สึกว่า เขาต้องทำ เพื่อให้ได้ไอเดีย ที่สำคัญ เขาต้องแน่ใจว่า ได้เขียน เครื่องหมายคำถามไว้ เพื่อที่ว่า เขาสามารถ ถามคุณครูได้ ในตอนหลัง ว่ามันหมายถึง อะไร
|
นักเรียนเหลวไหล แน่ละ, ไม่ทำแม้แต่ จะจดโน๊ดด้วยซ้ำ หรือ ดีที่สุดก็ คัดลอก เหมือนหุ่นยนตร์ โดยที่ ไม่เข้าใจอะไรเลย, และเหตุเพราะ พวกเขารีบจด สิ่งที่ เขาเอง ก็ไม่เข้าใจ พวกเขา ไม่ฟังคุณครู และพลาดไอเดีย สำคัญๆ หลายอย่าง ท้ายสุด พวกเขาก็จบลง ด้วย บันทึกที่ไม่มีระเบียบ และ ไม่เข้าใจ, แต่รู้สึก เหนื่อยจากการทำงาน ทั้งหมด! และต่อมา เขาก็ไม่รู้ว่า เขาได้เรียนอะไรมาบ้าง
สมุดโน๊ตที่ว่างเปล่า =
สมองที่ว่างเปล่า
|
|
ความลับ #11: ผู้เรียนที่ดี มองหาภาษาอังกฤษของจริง นอกห้องเรียน พวกเขาเสาะหาสิ่งที่สนุก หรือหนังสือ ภาษาอังกฤษ ที่่น่าสนใจไว้อ่านเล่น หรือดูหนัง หรือโชว์ต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษ และท้าทายตัวเอง ที่จะเข้าใจ ภาษาอังกฤษ วิธีการแบบนี้ เขาได้เห็นว่า จริงๆแล้ว ภาษาอังกฤษ มันทำงานอย่างไร และคนเขาใช้อย่างไร ในการพูดสื่อสารจริงๆ
ความจริง ก็คือ บ่อยครั้ง ผู้เรียนที่ดีคือ คนที่ ชอบอ่านหนังสือ เพื่อสนุกๆ ในภาษาไทยด้วย และเราไม่ได้หมายถึง หนังสือการ์ตูน, เมื่อพวกเขาไม่มีอะไรทำ คุณจะเห็นเขา ก้มหน้าก้มตากับหนังสือ, นวนิยาย, หรือหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ ปัจจุบันนี้ ทุกคนอ่านหนังสือ แฮร์รี่ พอร์ทเตอร์ กันถ้วนหน้า แต่ผู้เรียนที่ดี อ่านหนังสืออื่นด้วย มีหนังสือดีๆ อยู่ในโลกมากมาย และเพราะว่า เขาทำแบบนั้น สมองส่วนที่เป็นด้านภาษา ก็จะแข็งแรงตามไปด้วย ซึ่งก็ไม่ได้ท่วมท้น ล้นสมอง ที่จะรับเอารูปแบบการเขียน ของอีกภาษาหนึ่งเพิ่มเข้าไป
ผู้เรียนที่ดี ดูหนังฝรั่ง พากษ์ฝรั่ง หรือ soundtrack และพยายาม ที่จะจับคำและความหมายของคำ บ่อยครั้งที่มันยาก แต่ถ้ามีหนังที่เขาชอบมาก เขาก้ดูหลายๆ รอบ และพยายามที่จะแกะบทสนทนา ให้ได้มากขึ้นและมากขึ้น
เคเบิ้ล ทีวี ก็เป็นแหล่ง สำหรับภาษาอังกฤษแบบประจำวัน มีรายการสนุกๆ มากมาย เช่น รายการเด็กๆ ช่อง Nickelodeon
|
นักเรียนเหลวไหล ไม่เคยจับ หนังสือนอกห้องเรียน อื่นๆ เลย และก็ไม่มองหาฟังภาษาอังกฤษอื่นๆ อีกเลย พวกเขาดูแต่สิ่งที่ครูบังคับให้เรียน ซึ่งทำให้เขาไม่มี ความคิดอื่นๆ ในเรื่องของ ภาษาที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน และก็ไม่รู้รสชาด ของภาษาไปด้วย
และก็คงจะแน่นอนว่า นักเรียนเหลวไหล เป็นนักเรียนที่ ไม่อ่านหนังสือไทยด้วย เช่นกัน ยกเว้น แต่หนังสือการ์ตูน หนังสือตลก ในโลกนี้ มีวิจิตรศิลป์ิ ชั้นดี แต่หนังสือที่นักเรียนไทยอ่านเล่น เป็นขยะ, เช่นเดียวกับ ละครนทีวี น้ำ้ำเน่า ทั่วๆไป ก็เป็นขยะ, สิ่งของต่างๆ ที่หลายบริษัท ทำเงินจากคนที่ไม่มีสมอง เนื่องจากนักเรียนเหลวไหลไม่อ่านหนังสือมากนัก สมองส่วนที่เป็นภาษา จึงไม่ได้พัฒนามาก การอ่าน หนังสือเรียนที่โรงเรียน ก็เจ็บปวดมากพอ สำหรับนักเรียนเหล่านี้แล้ว ถ้าจะให้อ่านหนังสือ ภาษาอังกฤษด้วย คงจะลืมไปได้เลย
และในที่สุด นักเรียนเหลวไหล ไม่เคยสน หรือเข้าใกล้ หนังพากษ์ฝรั่ง หรือ soundtrack เพราะว่า เขาเกลียดการอ่าน ภาษาไทยด้านล่าง (อาจเป็น เพราะว่า เขาอ่านได้ไม่เร็ว แม้แต่ในภาษาไทย ) และคงเกลียดการคิดตามตอนดูหนังนั้น
|
|
ความลับ #12: ฝึกฝน และ ทบทวน PRACTICE AND REVIEW. หลังเลิกเรียน ผู้เรียนที่ดี ดูและทบทวนงานและสมุดจดโน๊ต อีกครั้ง, ทบทวนความผิดที่เขาทำ, และบางครั้งยัง คัดลอกโน๊ต ของตัวเองให้เรียบร้อยอีกครั้ง จากนั้น เขาก็พูดออกมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับตัวเองหลายๆครั้ง วิิธีการนี้ ช่วยทำให้บทเรียนเข้าไปในสมองได้ลึกกว่า และจำได้นานกว่า
|
นักเรียนเหลวไหล ไม่เคยดูงานของตัวเองอีกเลย, ไม่เคยฝึกฝน,และไม่นานก็ลืมไปว่าเรียนอะไรมาบ้าง, ดังนั้น เมื่อกลับไปเรียน เขาก็กลับไปนับหนึ่งอีกครั้ง และก็จะทำผิดแบบเดิมอีก
|
|
|
ที่มา http://www.tookaa.com/thais_and/howto/learn1.htm
เว็บไซต์ครูบ้านนอก.คอมขออนุญาตคัดลอกมาเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
คุณครูใช้พลังเสียงแต่ละวันมากไหม? ลองดู (ไมค์wireless,รองรับFM) Rolton K400FM ไมค์ลอย ไมค์ไร้สาย ไมค์ช่วยสอน ลำโพงพกพา ลำโพง ไมค์ลอย K400 FM ในราคา ฿494 - ฿592 ที่ Shopeehttps://s.shopee.co.th/50IAUAsJw0?share_channel_code=6
Advertisement
เปิดอ่าน 28,946 ครั้ง เปิดอ่าน 17,836 ครั้ง เปิดอ่าน 23,527 ครั้ง เปิดอ่าน 239,401 ครั้ง เปิดอ่าน 58,499 ครั้ง เปิดอ่าน 226,746 ครั้ง เปิดอ่าน 46,002 ครั้ง เปิดอ่าน 39,448 ครั้ง เปิดอ่าน 36,696 ครั้ง เปิดอ่าน 89,997 ครั้ง เปิดอ่าน 32,783 ครั้ง เปิดอ่าน 218,106 ครั้ง เปิดอ่าน 31,776 ครั้ง เปิดอ่าน 68,745 ครั้ง เปิดอ่าน 64,062 ครั้ง เปิดอ่าน 58,666 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 42,063 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 36,696 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 40,346 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 13,896 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 334,184 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 234,777 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 16,042 ครั้ง |
เปิดอ่าน 7,655 ครั้ง |
เปิดอ่าน 13,777 ครั้ง |
เปิดอ่าน 12,975 ครั้ง |
เปิดอ่าน 20,462 ครั้ง |
|
|