ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


Advertisement

ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมเรื่องราวจากสมาชิก  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

"ภพภูมิ" ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ....ชี้ทางสวรรค์...สำหรับผู้ที่ใกล้จะตาย.....


เรื่องราวจากสมาชิก

8,118

views
Advertisement

"ภพภูมิ" ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ....ชี้ทางสวรรค์...สำหรับผู้ที่ใกล้จะตาย.....

❝ สนับสนุนโดย ชมรมพระจันทร์ยิ้ม โทรติดต่อ 0864113996 ❞

สภาพความเป็นอยู่ของสัตว์ในภพภูมิต่างๆ

 

ถึงบทก่อนเราทราบพอเป็นเค้าเป็นเลาว่า ตายแล้วไม่จบ แต่ยังไม่ทราบว่า ตายแล้วไปไหน สำหรับบทนี้จะพูดถึงสภาพความเป็นอยู่ของสัตว์ในภพภูมิต่างๆที่ผู้ ตายจริง ได้ไปอยู่กัน

คนที่เห็นการท่องเที่ยวเกิดตายของสัตว์ในสังสารวัฏต่างเกิดมุมมองเดียวกันขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นคือสัตว์ทั้งหลายไม่เคยตาย มีแต่เคย เปลี่ยนสภาพ หรือ เคลื่อนจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง เท่านั้น

แต่สำหรับคนไม่รู้ ไม่มีญาณหยั่งเห็น ต้องถือว่าไม่มีความผิดที่ปักใจเชื่อได้แค่ตามที่ประสาทตาเนื้อเอื้อให้เห็น เมื่อใดที่ใครเป็นศพ ก็เหมือนเป็นการโบกมือลาชั่วนิรันดร์ จะไม่ได้พบกันอีก จะไม่ได้คุยกันอีก จะไม่ได้ทำอะไรๆร่วมกันอีก

เราเลือกได้ที่จะไม่เชื่อ แต่เราไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงความจริง เหมือนเช่นเมื่อเรายังไม่รู้เรื่องการประหารชีวิตที่น่าขนพองสยองเกล้า เราก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ามีอะไรหฤโหดอย่างนี้อยู่บนโลก แต่ถ้ามันมีมันก็มี นี่เป็นทำนองเดียวกับที่เรายังไม่รู้สภาพความเป็นไปในนรก เราอาจไม่อยากเชื่อว่ามันมี แต่ถ้ามันมีมันก็มีเช่นกัน ที่สำคัญคือถ้ามันมีจริงก็แปลว่าความหฤโหดทุกชนิดบนโลกมนุษย์เป็นอันถูกลืมได้ เพราะจะไม่มีความทุกข์ใดเทียบเท่าความทุกข์ทรมานในนรกเลยเป็นอันขาด!

เมื่อดำรงอยู่ในความเป็นมนุษย์ด้วยกันนี้ ทุกคนรู้ว่าระหว่างพวกเรามีความต่าง แต่จะรู้ดีที่สุดว่าความต่างนั้นมีความหมายอย่างไรก็เมื่อเห็นภพภูมิอันเป็นที่ไปของแต่ละคนนั่นเอง

 

ภพภูมิ

ภพ คือโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ จะเรียกว่าภพ จะเรียกว่าสภาพ หรือจะเรียกว่าภาวะชีวิตก็ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะเน้นสภาพแวดล้อม หรือภาวะของอัตภาพที่สัตว์ครองอยู่เป็นสำคัญ เช่นภพของมนุษย์ย่อมมีแผ่นดิน มีภูเขา มีทะเล มีแม่น้ำ โดยที่ตัวมนุษย์เองมีหนึ่งหัว หนึ่งตัว สองแขน สองขา ยกตั้งขึ้นด้วยกระดูกสันหลังอันแสดงสภาพสัตว์ชั้นสูง

โดยคร่าวสุดมีภพอยู่ ๓ ระดับ รวมเรียกว่า ไตรภพ ได้แก่

๑) กามภพ ภพของผู้ที่ยังเสวยกามคุณ หมายถึงสภาพต่ำสุดตั้งแต่สัตว์นรก ไล่มาถึงสัตว์เดรัจฉาน เปรต มนุษย์ เรื่อยไปจนกระทั่งสูงสุดคือเทวดาผู้ยังพัวพันกับความใคร่ในรูปเสียงกลิ่นรส

๒) รูปภพ ภพของผู้ที่เข้าถึงรูปฌาน หมายถึงสภาพของผู้พ้นจากภพอันเกลือกกลั้วด้วยกาม เพราะมีสมาธิจิตตั้งมั่นถึงระดับฌาน พวกนี้จะมีรูปกายทิพย์ที่สุขุมยิ่ง สุขุมและประณีตขนาดที่ว่าผัสสะภายนอกทั้งปวงปรากฏแผ่วจนไม่อาจทำให้รู้สึกรู้สาว่าน่าติดใจแต่อย่างใดได้ พวกเขาพึงใจมีชีวิตเพื่อเสพสุขอันเป็นภายในจากสภาพฌานจิตอันยิ่งใหญ่ล้ำลึกเกินจินตนาการ

๓) อรูปภพ ภพของผู้ที่เข้าถึงอรูปฌาน หมายถึงสภาพของผู้พ้นจากความมีรูป เพราะสมาธิจิตก้าวล่วงการสำคัญในรูปทั้งปวงเสียได้ พวกนี้มีรู้สึกในอีกระนาบหนึ่งซึ่งเหนือกว่าสุขอันเป็นทิพย์

 

(หมายเหตุ – คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไตรภพคือโลกนรก โลกมนุษย์ และโลกสวรรค์ ความจริงแล้วทั้งสามนี้เป็นเพียงกามภพเท่านั้น)

 

ส่วนภูมิ นั้นจะเป็นส่วนย่อยของภพอีกที เพราะเน้นที่ระดับชั้นแห่งจิตมากกว่าจะพูดถึงสิ่งแวดล้อมหรือแม้แต่ร่างกายอันเป็นของภายนอกที่สัมผัสได้ง่ายกว่ากัน

ภูมิแห่งจิตวิญญาณมี ๔ ระดับ ได้แก่

๑) กามาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตที่ยังข้องแวะอยู่กับกามคุณ ๕ คือเสพผัสสะอันน่าพึงใจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด

๒) รูปาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตที่ยึดเอารูปธรรมเช่นลมหายใจหรือสีสันเป็นตัวตรึงจิตให้ตั้งมั่นถึงฌาน

๓) อรูปาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตที่กำหนดเอานามธรรมเช่นอากาศอนันต์เป็นตัวตรึงจิตให้ตั้งมั่นถึงฌาน

๔) โลกุตตรภูมิ เป็นภูมิจิตที่เคยเห็นแจ้งว่ารูปนามไม่ใช่ตัวตน และความเห็นนั้นจะต้องเหนี่ยวนำจิตได้ถึงฌาน ประจักษ์แจ้งว่านิพพานมีจริง พ้นสภาพการมีการเป็นทั้งปวงออกไป

 

คงเห็นว่า ภูมิ นั้นจำแนกออกมาได้มากกว่าภพ ทั้งนี้ก็เพราะหลายภพสามารถเป็นที่อยู่ของภูมิจิตระดับโลกุตตระได้นั่นเอง สังสารวัฏมิได้มีที่อยู่เฉพาะสำหรับอริยบุคคลแต่อย่างใด เว้นแต่อบายภูมิแล้ว อริยเจ้าปรากฏอยู่ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าในโลกมนุษย์นี้ ในโลกสวรรค์ ในโลกพรหม

และที่คนไทยมักเรียกรวมว่า ภพภูมิ ควบคู่กันนั้น ขอให้ทราบว่าเป็น ภาพรวม ของช่องชั้นที่อยู่ ทั้งลักษณะกายและระดับจิตในระหว่างเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง โดยมากจะนึกเหมาไปรวมๆได้เพียงโลกมนุษย์ในฐานะระดับที่ตนเป็นอยู่ เห็นว่าชาติปัจจุบันเป็นอย่างนี้ ชาติหน้าก็คงจะราวๆเดียวกันนั่นเอง

เพื่อให้เข้าใจความหลากหลายระหว่างภพภูมิต่างๆได้ดีขึ้น ลองมาดูก่อนว่าแค่ โลกมนุษย์อันเป็นภพๆหนึ่งนั้น เรามีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ถ้ายังเหมาว่าดาวเคราะห์กลมๆใบนี้คือ โลกของมนุษย์ อยู่ล่ะก็ ควรปรับความเข้าใจเสียใหม่ คือความจริงมันเป็นที่อยู่อาศัย เป็นแหล่งรวม เป็นศูนย์กลางของสัตว์ในภพภูมิอื่นอีกมากนัก กล่าวคือดาวเคราะห์กลมๆใบนี้เป็นโลกของเดรัจฉาน เป็นโลกของผีเปรต และเป็นโลกของเทวดาชั้นต้นๆ อีกมากมายเหลือคณานับ สัตว์บางภพภูมิเช่นเดรัจฉานเราก็มองเห็นด้วยตาเปล่าและสามารถสัมผัสแตะต้องได้ด้วยมือไม้ ทว่าสัตว์บางภพภูมิเช่นเปรตนั้น เราอาจบังเอิญสัมผัสได้ด้วยใจแล้วขนลุก หรือสัตว์บางภพภูมิเช่นเทวดา เราก็ได้แต่รู้สึกถึงความอบอุ่นสว่างเบาจากกระแสวิญญาณพวกท่าน

ดังนั้นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งๆจึงไม่จำเป็นต้องเป็นภพของสัตว์หมู่ใดเสมอไป แต่อาจเป็นแหล่งรวม เป็นสภาพแวดล้อมให้กับเหล่าสัตว์ในชั้นภูมิต่างๆได้หลากหลาย

เมื่อความจริงเป็นดังนี้ ฉะนั้นแม้แต่ปุถุชนธรรมดาผู้ปราศจากญาณหยั่งรู้ใดๆก็อาจเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภพภูมิอื่นได้ อย่างเช่นสัตวแพทย์หรือคนรักสัตว์ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และความผูกพันกับสัตว์มากๆ หากเข้าใจอย่างถูกต้องก็จะเริ่มตอบคำถามขั้นพื้นฐานได้ เช่น

๑) การสื่อสารข้ามภพภูมิเป็นจริงหรือไม่? ต้องตอบว่าเป็นไปได้จริง อย่างเช่นผู้ที่ฝึกสัตว์สามารถสั่งสัตว์ให้ทำสารพัดสิ่ง แม้แต่ลิงชิมแปนซีก็แสดงให้เห็นว่าเข้าใจภาษามนุษย์เป็นคำๆ สามารถเลือกอักษรมาผสมเป็นคำเพื่อสื่อสารง่ายๆกับผู้ฝึกได้ และผู้ฝึกสัตว์หลายคนก็อ้างว่าตนสามารถคุยกับสัตว์รู้เรื่องเป็นอย่างดี เพียงเห็นภาษากายหรือวิธีส่งเสียงของพวกมัน

๒) การรับรู้ของสัตว์ในแต่ละภพภูมิแตกต่างกันมากหรือน้อย? ต้องตอบว่ามากอย่างเกินกว่าที่เราจะจินตนาการถูก อย่างเช่นสุนัขจะได้ยินเสียงที่มีความถี่สูงเกินกว่าแก้วหูมนุษย์จะสามารถรับรู้ และนอกจากจะมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คนเราจะไม่ทราบเลยว่ามดมีสองตาก็จริง ทว่าตาแต่ละข้างประกอบด้วยตาย่อยๆอีก การเห็นผ่านประสาทตาของพวกมันจึงเกินกว่าที่เราจะนึกให้ออกว่าเป็นอย่างไร

๓) หมู่สัตว์อื่นก่อกรรมดีชั่วได้หรือไม่? ต้องตอบว่าบางจำพวกก็ก่อกรรมได้ เช่นสุนัขบางตัวที่ถูกฝึกแล้วเป็นอย่างดีสามารถช่วยชีวิตคนได้ แมวบางตัวได้ชื่อว่าเป็นแมวอันธพาลเพราะไล่กัดแมวอื่นแบบนักเลงโต พฤติกรรมเหล่านี้มิได้อาศัยสัญชาตญาณ แต่ต้องมีแรงขับดันจากเจตนาซึ่งเป็นอาการทางจิต และปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลหรืออกุศลได้มาก แต่สัตว์บางจำพวกก็ก่อกรรมไม่ได้ เช่นมดที่เอาแต่ขนของท่าเดียว ไม่มีปัจจัยให้คิดทำดีหรือทำชั่วแหวกแนวไปจากพวกเท่าใดนัก ถ้าไม่ใช่มดประเภทที่มีพิษและคิดทำร้ายสัตว์อื่น ก็พออนุโลมกล่าวว่ามีสัตว์บางจำพวกเกิดมาเพื่อรับกรรมมากกว่าที่จะก่อกรรม ซึ่งก็คล้ายกับสัตว์นรก แต่สบายกว่าสัตว์นรกหลายเท่า

 

เมื่อสดับตรับฟังเกี่ยวกับเรื่องของภพภูมิ เราอาจจินตนาการเปรียบเทียบได้ว่าสังสารวัฏนั้นเสมือนคุก แต่ละภพแต่ละภูมิคือกรงขัง ซึ่งก็มีทั้งกรงขังสำหรับพวกมีโทษมาก และกรงขังสำหรับพวกมีโทษน้อย จะต่างจากกรงขังในโลกก็ตรงที่เมื่อใครเข้าสู่ภพภูมิไหนแล้ว จะไม่มีการรื้อคดีเพื่อพิจารณาย้อนหลังกันใหม่อีกเลย ใครเข้าไปรับกรรมในภพภูมิใด ก็จะต้องติดอยู่ในภพภูมินั้นๆไปจนกว่าจะถึงกำหนดพ้นโทษตามเหตุที่ก่อมา

การแหกคุกในสังสารวัฏพอมีให้เห็นได้ เช่นการฆ่าตัวตายหนีจากสภาพความเป็นมนุษย์ไป แต่ว่านั่นเปรียบเหมือนการเพิ่มโทษให้ตัวเองโดยพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ลำบากกว่าเดิม และคุกก็ไม่จำเป็นต้องมีผู้คุมไว้คอยไล่ล่าลากคอนักโทษกลับมาให้เหนื่อยแรง เนื่องจากพ้นเขตกักขังเดิมออกไป ก็เป็นแดนเชื่อมต่อกับเขตกักขังใหม่ทันทีอยู่แล้ว ราวกับสังสารวัฏเป็นทัณฑสถานที่ไร้ทางออกอย่างสิ้นเชิงฉะนั้น

เราทุกคนต่างเป็นนักโทษประหาร โดยมีความผิดสถานเดียวคือ ไม่รู้ทางออก และ มัวแต่ติดใจเครื่องล่อในคุก กันอยู่นี่เอง คุกแห่งนี้ประหารด้วยการเอาเข้าเครื่องลบความจำแล้วเปลี่ยนแดนกักขังเสียใหม่ ใช้กลอุบายพิสดารล่อใจให้หลงวนติดใจอยู่กับการโดนประหารไปเรื่อยๆ

ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่น่าสนใจ คือเรามีสิทธิ์รู้เรื่องภพภูมิได้มากกว่าที่คิด เพราะภายในร่างกายและจิตใจของมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวนี้ เป็นศูนย์รวมของภูมิจิตได้ครบถ้วนทุกภูมิ นับแต่ต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด!

กล่าวเช่นนี้เพราะเหตุใด? เพราะถ้าตัดเอารูปร่างหน้าตา เนื้อหนังมังสา หูตาจมูกปากออกไป เหลือไว้แค่เพียงสภาพของจิตที่เวียนเกิดเวียนดับอยู่อย่างเดียว เราก็จะเห็นจิตชนิดต่างๆภายในขอบเขตดังต่อไปนี้เท่านั้น

 

๑) จิตอันเป็นไปในกามาวจรภูมิ คือจิตที่มีเครื่องล่อเป็นกามคุณ ๕ ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพศตรงข้ามอันยวนตายวนใจ ถ้าได้เสพสิ่งที่ระคายสัมผัส เช่นตากแดดร้อนกระหายน้ำอยู่กลางทะเลทราย หรือถ้าไม่ได้เสพสิ่งที่ปรารถนา เช่นอยากนอนกับใครแล้วเจอข้อจำกัดให้ต้องเร่าร้อนทรมานใจ อย่างนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนรกชื่อ ผัสสายตนิกะ จะเรียกผัสสายตนิกนรกก็ได้

ส่วนถ้าใครได้เสพสิ่งที่น่าบันเทิงเริงรมย์ เช่นนั่งนอนบนฟูกนุ่มในห้องปรับอากาศเย็นสบายดูหนังฟังเพลงตามต้องการ หรือได้เสพสิ่งที่ปรารถนา เช่นได้สามีหรือภรรยาถูกใจ ชวนอภิรมย์ชมชื่นทุกวันคืนไม่ติดขัด อย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่าเป็นสวรรค์ชื่อ ผัสสายตนิกะ เช่นกัน จะเรียกผัสสายตนิกสวรรค์ก็ได้

พูดง่ายๆว่าคนเราเวียนว่ายตายเกิดระหว่างนรกและสวรรค์ที่ชื่อผัสสายตนิกะกันตั้งแต่เด็กจนแก่ อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีจิตเป็นมนุษย์ แม้ขณะที่ตกภวังค์ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็เป็นสภาพภวังค์อันสืบต่อรักษาภพแห่งความเป็นมนุษย์ไว้อยู่ดี ถ้าใครเปรียบเทียบว่าคนชั่วเหมือนสัตว์นรก เดรัจฉาน หรือเปรต และเปรียบเทียบว่าคนดีเหมือนเทวดา พรหม ขอให้ทราบว่านั่นเป็นเพียงการอุปมาอุปไมยที่ขาดความจริงทางจิตรองรับ เพราะตลอดชีวิตเรานับแต่ปฏิสนธิจนจุตินั้น เป็นได้อย่างเดียวคือมนุษย์

มนุษย์เป็นสัตว์รักสนุก ชอบกอบโกยความสุขเข้าหาตัว ดังนั้นความสุขจึงเป็นแรงผลักดันให้ก่อกรรมอันจะได้มาซึ่งวัตถุบำเรอสุข ซึ่งบางครั้งก็เป็นกุศลกรรม แต่โดยมากจะด้วยวิถีแห่งอกุศลกรรม เมื่อมนุษย์ก่อกรรมอันใดไว้มาก กรรมนั้นย่อมพาเขาไปสู่ภพอันสมควร ถ้าน้ำหนักกรรมเอียงไปทางดีก็ล่องลิ่วขึ้นสวรรค์ไป ถ้าน้ำหนักกรรมเอียงไปทางชั่วก็พุ่งหลาวลงนรกกัน และคราวนี้จะไม่ใช่ผัสสายตนิกสวรรค์หรือผัสสายตนิกนรก แต่เป็นสวรรค์มีชื่อเป็นต่างๆ นรกมีชื่อเป็นต่างๆ อันเป็นภพใหม่ที่ให้ผัสสะเย็นหรือผัสสะร้อนเป็นทวีคูณตั้งแต่อุบัติขึ้นในภพนั้นจวบจนถึงเวลาจุติไป

 

๒) จิตอันเป็นไปในรูปาวจรภูมิ คือจิตที่มีเครื่องล่อเป็นรูปธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้กำหนดหมาย โดยเครื่องกำหนดหมายนั้นไม่เป็นโทษ ไม่ก่อให้เกิดความครุ่นคิดฟุ้งซ่าน อย่างเช่นลมหายใจอันเป็นสมบัติติดตัวพวกเราทุกคนมาตั้งแต่เกิด เพียงเฝ้าดูเล่นๆว่ามันเข้า มันออก เดี๋ยวมันยาว เดี๋ยวมันสั้น ซ้ำไปซ้ำมาไม่นานก็จะเปลี่ยนภาวะคิดสุ่มไร้ระเบียบ กลายเป็นคิดถึงแต่เรื่องลมหายใจอย่างเดียว และพบด้วยตนเองว่าการคิดถึงแต่ลมหายใจ ระงับความพะวงหลงแส่ส่ายไปในเรื่องไร้สาระต่างๆนั้น ให้ผลเป็นความปลอดโปร่งเยือกเย็น มีปีติสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งถึงจุดหนึ่งเมื่อคิดฟุ้งน้อยลงๆจนหยุดคิดถึงเรื่องอื่นใดอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้แต่การรับรู้ในลมหายใจว่าผ่านเข้าผ่านออก ผ่านเข้าผ่านออกอยู่เช่นนั้น จิตก็แปรสภาพเป็นภาวะสงบประณีต เหมือนดวงไฟใหญ่ที่ค้างนิ่งอยู่กับการรับรู้สิ่งเดียว ราวกับไม่มีการเคลื่อนของเวลา มีแต่การไหลเข้าไหลออกของสายลมหายใจยืดยาว ตรงนั้นคือสมาธิระดับฌานขั้นแรก เรียกว่า ปฐมฌาน

ผู้ที่ถึงปฐมฌานได้ชื่อว่ารู้จักสภาพของจิตอันเป็นไปในรูปาวจรภูมิ เริ่มฉลาดในธรรม คือเห็นจิตที่แน่วนิ่งตั้งมั่นนั้นดีกว่าจิตที่สั่นไหวโยกโคลง แต่ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าอยู่ในรูปาวจรภูมิเต็มขั้นก็ต่อเมื่อสามารถเข้าออกฌานได้ตามปรารถนา มีจิตใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเป็นปกติ คือนึกถึงลมหายใจเพียงไม่นาน หรือเพียงแวบเดียว จิตก็เปลี่ยนจากสภาพนึกคิดธรรมดาเป็นสภาพยุติความคิด สว่างโพลงเด่นดวงยิ่งใหญ่ ยับยั้งอยู่ในความรับรู้ลมหายใจอย่างเดียวโดยไม่มีหลงซวนเซ ไม่เป๋ไปทางไหน

การเป็นผู้ชำนาญเข้าออกรูปฌานได้นั้น แม้ยังเกลือกกลั้วอยู่กับโลกหยาบ วิถีชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร อย่างน้อยที่สุดจะไม่ไยดีในสภาพแวดล้อมอันเอื้อให้พบกับกามคุณ ๕ อันเผ็ดร้อน เพราะกามคุณจะเป็นตัวบั่นทอนความสะอาดของจิต และสั่นคลอนความแน่วนิ่งตั้งมั่นได้มาก ผู้ทรงฌานจะหวงก็เพียงสภาวจิตที่ตั้งมั่นได้ตามปรารถนา เพราะสุขอันลึกล้ำโอฬารนั้นคุ้มพอจะแลกกับกามอันเป็นของน้อย

ฉะนั้นจึงเป็นปกติหากผู้ทรงฌานจะทิ้งบ้านทิ้งเรือน ทิ้งความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานทั้งปวง ออกถือเพศบรรพชิต อาจถือวินัยแบบสงฆ์ หรืออาจประพฤติธรรมแบบฤาษีชีไพร จะมีบ้างเพียงส่วนน้อยที่ยังสามารถประพฤติธรรมได้ทั้งที่ยังเข้าสังคม ทำหน้าที่การงานอยู่เป็นปกติ

จิตที่พรากจากกามเพราะสามารถเข้าถึงภาวะแห่งฌานได้เป็นปกตินั้นยากจะหลงสติ ก่อนตายจะอยู่กับรูปฌานที่ตนชินชำนาญ และแล้วเมื่อถึงวาระสุดท้าย จิตจะวูบดับจากความรู้สึกทั้งมวล คือคลายออกจากรูปฌานเป็นจุติจิต แล้วเกิดปฏิสนธิจิตขึ้นใหม่ ถัดจากนั้นจึงกลับเข้าสู่ความรู้สึกตัวว่าอยู่ในฌาน ภายใต้การห่อหุ้มของรูปอัตภาพใหม่ที่ละเอียดสุขุมกว่าเทวดาและมนุษย์ ได้ชื่อว่าเข้าถึงความเป็นหนึ่งในหมู่สัตว์ที่เรียก รูปพรหม

 

๓) จิตอันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือจิตที่มีเครื่องล่อเป็นอรูปธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้กำหนดหมาย โดยเครื่องกำหนดหมายนั้นไม่ก่อให้เกิดการสำคัญไปในรูปธรรมทั้งปวง อย่างเช่นภาวะอากาศไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีกรอบจำกัดทางสายตาว่ากว้างประมาณเท่านั้น หรือยาวประมาณเท่านี้ มีแต่หน่วงนึกด้วยใจ สำคัญด้วยใจถึงสภาวะแห่งอากาศธาตุอันเวิ้งว้างว่างเปล่าปราศจากขอบเขต

การจะหน่วงนึกอย่างนี้ได้จิตต้องมีกำลัง มีความตั้งมั่นเป็นพื้นฐานอยู่ก่อน ส่วนใหญ่ผู้ที่ทำได้จะผ่านรูปฌานมาก่อนแล้ว มีความเป็นกลางทางจิตชนิดที่เรียกว่า มหาอุเบกขา เป็นพื้นยืนอยู่เป็นทุน เมื่อหน่วงนึกถึงอากาศอนันต์ได้จนจิตรวมลงเป็นฌาน เขาจะรู้สึกราวกับเห็นอากาศว่างไพศาลเท่าจักรวาล เป็นสภาพเหนือจินตนาการ คล้ายยกจิตขึ้นไปอยู่ในอีกระนาบมิติหนึ่งที่มีจริงด้วยอำนาจฌาน

ผู้ที่สามารถเข้าถึงอรูปฌานได้เป็นปกติจะมีจิตที่ปราศจากเยื่อใยในความมีรูปทั้งปวง เห็นรูปทั้งปวงเป็นของเล็กน้อย ไม่น่าแยแส จิตคำนึงถึงแต่นามธรรมอันโอฬารอยู่เนืองๆ และเมื่อตายลงเพราะกายหยุดทำงาน เขาก็จะพรากจากสภาพความมีรูปทั้งปวงไปสู่ความไม่มีรูป มีแต่จิตอันทรงฌานตื่นรู้อยู่อย่างยาวนานเกินจะนับว่ากี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านปี

การเป็นผู้ชำนาญเข้าออกอรูปฌานได้เป็นปกตินั้น ยากที่จะเกลือกกลั้วอยู่กับโลกหยาบ โดยมากจะเป็นนักบวช ดำรงชีพอยู่ด้วยการท่องเที่ยวไปในป่าเขาลำเนาไพร โลกทั้งโลกจะปรากฏเป็นภาพลวง แต่ความว่างจะกลายเป็นของจริงขึ้นมาแทน

ก่อนตายจะอยู่กับอรูปฌานที่ตนชินชำนาญ และแล้วเมื่อถึงวาระสุดท้าย จิตจะวูบดับจากความรู้สึกทั้งมวล คือคลายออกจากอรูปฌานเป็นจุติจิต แล้วเกิดปฏิสนธิจิตขึ้นใหม่ ถัดจากนั้นจึงกลับเข้าสู่ความรู้สึกตัวว่าอยู่ในอรูปฌาน โดยไม่มีรูปกายทิพย์ห่อหุ้ม ได้ชื่อว่าเข้าถึงความเป็นหนึ่งในหมู่สัตว์ที่เรียก อรูปพรหม จิตสามารถไหวตัวรับรู้ความมีความเป็นในจักรวาลได้ แต่เพิกเฉยไม่ยินยลสนใจ เพราะไม่ทราบจะไปข้องเกี่ยวด้วยอย่างไร จึงพักการก่อกรรมดีร้ายแบบสัตว์ในภพล่างๆเป็นเวลานานแสนนาน ด้วยความหลงเข้าใจผิดว่าภาวะของตนคงเป็นอมตะ เป็นนิรันดร์อย่างแท้จริง แท้จริงได้ชื่อว่าเป็นเพียง อรูปพรหม อันจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีกเท่านั้น

 

๔) จิตอันเป็นไปในโลกุตตรภูมิ คือจิตที่มีเครื่องล่อเป็นอาการเกิดดับแห่งรูปนาม หรืออาการที่รูปนามแสดงความไม่ใช่ตัวตนออกมาให้ล่วงรู้ อย่างเช่นเมื่อฝึกสติรู้ลมหายใจได้เป็นปกติ ก็สามารถเห็นชัดว่าธาตุลมมีเข้า มีออก มีหยุด ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยง เช่นเดียวกับอารมณ์สุขทุกข์ทั้งปวง เช่นเดียวกับสภาพจิตที่สงบแล้วกลับฟุ้ง และเช่นเดียวกับสรรพสิ่งทั้งที่เป็นรูปธรรมนามธรรมทั่วสากลจักรวาล ต่างก็แสดงตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเกิดขึ้นด้วยเหตุ แล้วมีอายุขัยที่จะต้องดับลงเป็นธรรมดา

เมื่อจิตมีปกติเห็นทั้งตนเองและสรรพสิ่งโดยความเป็นของที่ต้องดับลง ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนค้ำฟ้า ก็จะค่อยๆถอดความเข้าใจผิด และถอนตนออกจากหล่มกาม ถอนตนออกจากอุปาทานว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวเป็นตน กระทั่งเกิดธรรมชาติล้างผลาญเครื่องร้อยรัดจิตให้ติดอยู่กับสังสารวัฏ เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสที่เรียกกันว่า พระอรหันต์ ไม่ต้องเวียนกลับมาทุกข์ซ้ำทุกข์ซาก เกิดแล้วแก่ แก่แล้วเจ็บ เจ็บแล้วตายเหมือนอย่างสัตว์อื่นที่ไม่รู้ทางออกอีก

พระอรหันต์จะเป็นผู้ไม่เห็นนิมิตหมายใดๆเมื่อใกล้ดับขันธ์ พวกท่านมีจิตสุดท้ายเป็นดับลงแล้วไม่มีจิตใดเกิดขึ้นสืบต่ออีก

แต่สำหรับผู้ที่เริ่มมีความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับสังสารวัฏและทางออกจากสังสารวัฏ เริ่มกำหนดสติดูรูปนามเกิดดับ เริ่มมีความเพียรอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตไม่ไยดีสิ่งอื่นนอกจากความเห็นรูปนามเกิดดับ ดังนี้ก็ถือว่าจิตเริ่มเข้ามาอยู่ในโลกุตตรภูมิแล้วเหมือนกัน เรียกว่าเป็นผู้พยายามเพื่อมี ดวงตาเห็นธรรม ธรรมในที่นี้คือความจริงสูงสุด ธรรมในที่นี้คือความว่างจากตัวตน ธรรมในที่นี้คือพระนิพพานอันปราศจากการเกิดและการดับ มีแต่ความเปิดเผยไร้ร่องรอยนิมิตอันใดสิ้น

 

ภพภูมิในมุมมองของผู้มีทิพยจักขุ

ในมุมมองของผู้มีจักษุอันเป็นทิพย์ ล่วงประสาทตาสามัญของมนุษย์ธรรมดา ภพภูมิเป็นเครื่องจำแนกผลกรรมที่ใหญ่ที่สุด เป็นภาพใหญ่ที่สุดที่เห็นได้ว่าใครเป็นใคร ทำอะไรมาอย่างหนักโดยมาก

สภาพของภพภูมิต่างๆนั้นเป็นคนละมิติกัน บางทีเทียบเคียงให้เข้าใจทั่วถึงได้ยาก อย่างเช่นเขตแดนในสวรรค์และนรกนั้น ไม่ใช่แผ่นดินซึ่งมีพื้นที่ตายตัว และไม่ใช่เขตต่อเนื่องถึงกันเหมือนดาวเคราะห์อย่างโลกเรา แต่นิมิตแห่งสภาพแวดล้อมเช่นความเป็นป่าเขา ลำธาร ต้นไม้ เปลวไฟ บ้านเรือน ปราสาทราชวัง พอจะเปรียบเทียบได้กับที่เห็นๆในโลกเรา เพียงแต่มีความหยาบและความประณีตผิดแผกแตกต่างจากกันตามลำดับภพภูมิ

อย่างไรก็ตาม จิตที่คิด จิตที่เห็นถูก จิตที่เห็นผิด จิตที่เสวยสุข จิตที่เสวยทุกข์ แม้เทียบน้ำหนักแล้วห่างชั้นกันเพียงใด ก็สามารถอนุมานเอาได้จากจิตแบบมนุษย์นี้ ฉะนั้นการชี้เน้นเข้ามาที่สภาพแห่งจิตย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกสัมผัสถึงภพภูมิต่างๆได้มากกว่าการกล่าวถึงรูปทรงหรือสถาปัตยกรรมของเคหสถานในภพอื่นกันตรงๆ

 

สัตว์ในแต่ละภพภูมิจะเห็นว่าทั้งโลกมีแต่พวกของเขา และรู้สึกว่าไม่มีสิ่งอื่นสำคัญกว่าพวกของเขา ยกตัวอย่างง่ายที่สุดคือสัตว์ในภพมนุษย์ คือพวกเรานี่เอง ถึงแม้จะร่วมอาศัยในดาวเคราะห์ดวงเดียวกันกับสัตว์ในภพอื่น ก็จะมองไม่เห็น ทั้งเปรตและเทวดา หนักไปกว่านั้นคือแม้แต่เหล่าเดรัจฉานที่วิ่งกันให้เกลื่อน บางลัทธิยังอุตส่าห์สร้างความเชื่อว่าพวกมันไม่มีจิตวิญญาณ หรือเป็นเพียงวัตถุที่เกิดมาให้มนุษย์กัดกินโดยเฉพาะ

การไร้ความสามารถเห็นสัตว์จุติและอุบัติด้วยแรงกรรม การไร้ญาณหยั่งรู้ว่าภพภูมิอื่นมี โลกหน้ามี อดีตชาติมี ล้วนแล้วแต่ตีกรอบ ครอบมุมมองของพวกเราให้คับแคบจำกัด มีการถกเถียงกันที่โน่นที่นี่ว่าตายแล้วไปเกิดต่อหรือดับสูญ ทั้งๆที่เหล่าวิญญาณกำลังทะลักเข้าทะลักออก แลกเปลี่ยนหมุนเวียนจากฟากต่างๆไปสู่ฟากต่างๆอยู่ทุกวินาที แม้แต่มนุษย์กับเดรัจฉานก็มีการแลกฝั่งกันที่โน่นที่นี่อยู่ตลอดไม่ขาดสาย มนุษย์ตายกันวินาทีละประมาณ ๒ คน เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละนาทีมีคนกลายร่างเป็นสัตว์กันทั้งหมดกี่ราย!

ความไม่รู้ ความไม่เห็น ล้วนเป็นความมืดทึบที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งเสียกว่าก้นลึกสุดของถ้ำ คนส่วนใหญ่เริ่มใช้เหตุผลกันออกมาจากความไม่รู้ และทะนงหลงยึดเหตุผลของตนว่าเป็นสิ่งน่าเลื่อมใส ส่วนใหญ่คนที่ได้ข้อสรุปจากเหตุผลของตนเองว่าชาติหน้าไม่มี ชาติก่อนไม่มี ผลกรรมไม่มี จะเป็นพวกที่ทำทุกสิ่งได้ตามอำเภอใจ กิเลสสั่งให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องกลัวผลกรรม ไม่ต้องละอายต่อบาปใดๆทั้งสิ้น

ขอเพียงศึกษาและฝึก วิชารู้ตามจริง ของพระพุทธเจ้า จิตจะเหมือนแสงสว่างส่องเข้าไปเห็นที่มืดเดิม เริ่มตั้งแต่อาณาบริเวณที่เราแต่ละคนอาศัยอยู่นี่เอง และสามารถเห็นได้ว่าภพภูมิใหม่อาจฉายเงาได้ตั้งแต่ขณะยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ทีเดียว

อย่างเช่นคนที่ตระหนี่ถี่เหนียว ละโมบโลภมาก คิดแต่จะแสวงประโยชน์เข้าตัว จะมีเงามืดก่อตัวขึ้นเหมือนหลุมดำที่คอยดึงดูดเอาความชั่วร้ายทั้งหลายเข้าหาตัว แม้แกล้งทำดีมีเมตตา กระแสจิตก็จะไม่แผ่ผายออกทำความรู้สึกอบอุ่นใจให้แก่คนใกล้ชิดได้สักเท่าใด บางครั้งเขาอาจรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่สนใจ เพราะกิเลสสั่งให้สนใจแต่การกอบโกยท่าเดียว

แม้ขณะเป็นมนุษย์เขาร่ำรวยจากการคดโกง แต่ผู้มีทิพยจักขุย่อมเห็นความร่ำรวยของเขาเป็นเพียงภพหลอกตา เพราะภพจริงที่จิตเขาก่อขึ้นนั้นคือความยากจนข้นแค้น เขาสร้างโซ่ตรวนรัดตนเองไว้กับดินแดนแห้งแล้งไร้ความอบอุ่นไว้ให้ตัวเองได้อยู่อาศัย เขาจะเป็นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย หันหน้าไปหาความช่วยเหลือจากทางใดก็จะถูกปิดกั้นจากทางนั้น

การขาดแคลนน้ำใจต่อเพื่อนร่วมโลกก็คือการสร้างภพที่ขาดแคลนความชุ่มเย็นต่อตนเอง แม้จิตวิญญาณในปัจจุบันก็แห้งแล้งเหมือนดอกไม้ขาดน้ำ ขอเพียงมีน้ำใจ มีความคิดสละ ยิ่งมากเท่าไหร่ ใจจริงก็ยิ่งรินเมตตาออกมาเท่านั้น กระแสความรู้สึกที่ผายออกกว้างนั้นเองคือภพแห่งความสบายไม่ขัดสนในเบื้องหน้า

 

หรืออย่างเช่นคนที่ปราศจากศีล ไม่มีความซื่อสัตย์ ไร้ความอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุให้กระทำผิด จะมีเงามืดทาบทับจิตวิญญาณของเขาเหมือนยกกำแพงหนาทึบขึ้นตั้งบังแสงสว่าง เรื่องที่น่าจะรู้ได้ด้วยสามัญสำนึกว่าดี กลับเห็นเป็นของเลว แต่ที่ชัดเจนว่าเลว กลับเห็นเป็นของดี ฤทธิ์ของกิเลสสามารถกลับจิตให้เห็นนกเป็นไม้ เห็นไม้เป็นนก ทำจิตให้เห็นดำเป็นขาว เห็นขาวเป็นดำได้อย่างเหลือเชื่อ

แม้ขณะเป็นมนุษย์เขาสะสวยหรือหล่อเหลาจากบุญเก่า หรือจากการเสริมแต่งด้วยศัลยกรรม แต่ผู้มีทิพยจักขุย่อมเห็นความสวยหรือหล่อของเขาเป็นเพียงภพหลอกตาชั่วคราว เพราะภพจริงที่จิตเขาก่อขึ้นนั้นคือความหม่นหมอง ปราศจากสง่าราศี ดูไม่น่าชื่นตาชื่นใจเหมือนเปลือกนอกที่ห่อหุ้มอยู่ แม้ตัวเขาเองจะทะนงในรูปลักษณ์ที่ดึงดูดเพศตรงข้ามได้ แต่ก็จะไม่ปลื้มใจกับความอัปลักษณ์ที่ฉายออกมาจากภายใน เป็นที่รู้อยู่แก่ใจตนเองเลย

การขาดสง่าราศีของศีลก็คือการสร้างภพที่ขาดความงามสะอาดตา แม้จิตวิญญาณในปัจจุบันก็มอมแมมเหมือนคนตกลงไปในบ่อโคลน ขอเพียงมีจิตใจใสสะอาด มีความคิดซื่อ ยิ่งมากเท่าไหร่ ใจจริงก็ยิ่งปราศจากมลทินเท่านั้น กระแสความรู้สึกที่หมดจดงดงามนั้นเองคือภพแห่งความดูดีไม่มีที่ติในเบื้องหน้า

 

ธรรมดาคนส่วนใหญ่จะครึ่งดีครึ่งร้าย จะไม่มีหลุมดำดึงดูดความชั่วร้ายเข้าสู่ตัวชัดเจน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีกระแสธารแห่งความเมตตาแผ่ผายออกมาล้นหลาม จึงเป็นเรื่องดูยาก ตัดสินยากสำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่ปราศจากญาณ หรือแม้กระทั่งผู้มีญาณเบื้องต้นที่ไม่ถึงระดับทิพยจักขุ ก็ไม่อาจสัมผัสได้แน่นอนว่าผู้ใดมีน้ำหนักเอนเอียงไปทางไหน

และแม้แต่ผู้มีทิพยจักขุซึ่งเห็นภพอันเป็นที่ไปของใครสักคนแจ่มชัด เพราะราศีสวรรค์แจ่มจ้าออกมาดูเรืองโรจน์โชติช่วง ก็ไม่อาจทำนายชนิดเอาคอเป็นประกันว่าใครคนนั้นจะต้องพุ่งขึ้นสวรรค์อย่างแน่นอน เนื่องจากภพของจิตเคลื่อนได้เรื่อยๆ วันนี้ชอบทำความดี วันหน้าอาจเคลื่อนไปชอบทำความชั่วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว วันนี้ทำสมาธิได้ถึงฌาน วันหน้าอาจเคลื่อนหล่นลงมาเป็นคนฟุ้งซ่านสติแตก เพราะไปทำกรรมบางอย่าง เช่นอวดโอ้โอหัง ลองดีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปทั่ว อย่างนี้ก็มีให้เห็นมาก

 

โพสต์โดยสมาชิกหมายเลข 3113 วันที่ 4 ต.ค. 2552

ชุดไทยจิตรลดา โทนสีดำ ตัดเย็บจากผ้าไหมแพรทิพย์ งานละเอียดปราณีต แพทเทิร์นเข้ารูป สวยหรู ทันสมัย #ภาพถ่ายจากสินค้าจริง

฿1,790

https://s.shopee.co.th/8ANnSpUT4P?share_channel_code=6


"ภพภูมิ" ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ....ชี้ทางสวรรค์...สำหรับผู้ที่ใกล้จะตาย.....

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

10 รถเด่น.....แห่งปี 2009

10 รถเด่น.....แห่งปี 2009


เปิดอ่าน 8,171 ครั้ง
ตาสวย...เราช่วยได้

ตาสวย...เราช่วยได้


เปิดอ่าน 8,111 ครั้ง
กระเทียม

กระเทียม


เปิดอ่าน 8,114 ครั้ง
ขออนุโมทนาบุญ

ขออนุโมทนาบุญ


เปิดอ่าน 8,115 ครั้ง
.....>>>ภาพสาวจีนหวานๆ 50 แบบ<<<.....

.....>>>ภาพสาวจีนหวานๆ 50 แบบ<<<.....


เปิดอ่าน 8,119 ครั้ง
..ตำนาน......

..ตำนาน......'ขนม ค-ร-ก'


เปิดอ่าน 8,132 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

วิธีทำให้ผมยาวเร็วขึ้น

วิธีทำให้ผมยาวเร็วขึ้น

เปิดอ่าน 8,112 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
เรื่อง...มีอยู่ว่า...
เรื่อง...มีอยู่ว่า...
เปิดอ่าน 8,111 ☕ คลิกอ่านเลย

 .การสร้างวินัยเชิงบวกกับหนังแผ่นถูก ๆ ที่ทำน้ำตาคลอ  The Chorus
.การสร้างวินัยเชิงบวกกับหนังแผ่นถูก ๆ ที่ทำน้ำตาคลอ The Chorus
เปิดอ่าน 8,121 ☕ คลิกอ่านเลย

9 ขั้น เอ่ยคำ ?ขอโทษ? อย่างมีฟอร์ม
9 ขั้น เอ่ยคำ ?ขอโทษ? อย่างมีฟอร์ม
เปิดอ่าน 8,123 ☕ คลิกอ่านเลย

แผนการจัดการเรียนรู้  เรื่องการแต่งคำประพันธ์
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการแต่งคำประพันธ์
เปิดอ่าน 8,157 ☕ คลิกอ่านเลย

ผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้า เรื่องแปลกที่กำลังจะกลายเป็นสิ่งปกติ
ผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้า เรื่องแปลกที่กำลังจะกลายเป็นสิ่งปกติ
เปิดอ่าน 8,112 ☕ คลิกอ่านเลย

ยิ่งแก่ยิ่งเก่ง
ยิ่งแก่ยิ่งเก่ง
เปิดอ่าน 8,113 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

"หัวใจเต้นผิดจังหวะ" แค่ตื่นเต้นหรือป่วย
"หัวใจเต้นผิดจังหวะ" แค่ตื่นเต้นหรือป่วย
เปิดอ่าน 42,836 ครั้ง

ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะพอ?
ดื่มน้ำแค่ไหนจึงจะพอ?
เปิดอ่าน 16,876 ครั้ง

ชำแหละ "ข้อสอบระดับชาติ" เพิ่มเด็กด้อยโอกาส-ไม่สะท้อนความรู้ในห้องเรียน
ชำแหละ "ข้อสอบระดับชาติ" เพิ่มเด็กด้อยโอกาส-ไม่สะท้อนความรู้ในห้องเรียน
เปิดอ่าน 14,845 ครั้ง

ความเสียหายจากมหาวิทยาลัยไทยปิดเปิดเทอมตามอาเซียน
ความเสียหายจากมหาวิทยาลัยไทยปิดเปิดเทอมตามอาเซียน
เปิดอ่าน 13,369 ครั้ง

คลิปน้อง "ธนัช" เด็กไทยอัจฉริยะ ตอน 4 ขวบ เดี่ยวไวโอลิน ที่ยอดวิวตอนนี้ 22 ล้านแล้ว
คลิปน้อง "ธนัช" เด็กไทยอัจฉริยะ ตอน 4 ขวบ เดี่ยวไวโอลิน ที่ยอดวิวตอนนี้ 22 ล้านแล้ว
เปิดอ่าน 16,697 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ