Advertisement
ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ทำไมเป็นกันมากขึ้น (Lisa)
คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม…อาจไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่อาจเกิดจาก "ภูมิแพ้" ถึงอาการจะดูธรรมดา แต่ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ อาจลุกลามไปจนถึงขั้นทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้เลย ทีนี้แหละเรื่องใหญ่ !
ถ้าพูดถึง "ภูมิแพ้" หลาย ๆ คนคงนึกถึงอาการ พวกผื่นคัน ลมพิษ แต่รู้ไหมว่านอกจากอาการทางผิวหนังแล้ว ในระบบทางเดินหายใจของเราก็เกิดอาการแพ้ได้เหมือนกัน และบางคนก็อาจจะแพ้แต่ไม่รู้ตัวก็ได้ ซึ่งจากการสำรวจในประเทศไทยก็พบว่า ในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมานี้ อุบัติการณ์ของโรค เพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัวเลยทีเดียว
ทำไมถึงได้ "แพ้"?
"สาเหตุของโรคภูมิแพ้ในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าน่าจะมีพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อมาเจอกับสภาพแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ มากมาย เช่น ไรฝุ่น เกสรหญ้า ซากแมลงสาบ อาการแพ้ก็ก่อตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผนังจมูก ผิวหนัง เยื่อบุหลอดลม เมื่อมีปฏิกิริยามาก ๆ เข้า ผู้ป่วยจึงรับรู้ถึงอาการที่แสดงออกมา และอาการจะกำเริบขึ้นถ้าไปถูกตัวกระตุ้น เช่น ความเครียด มลภาวะจากสิ่งแวดล้อม กลิ่นน้ำหอม หรือควันบุหรี่" นพ.ภก. สุรสฤษดิ์ ขาวละออ กล่าว
"ตามทฤษฎีแล้วคาดว่าโรคนี้น่าจะมีมานานอยู่คู่กับเรามาตลอด โดยผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกถึงภัยที่ซ่อนอยู่ แต่สาเหตุที่ช่วงหลัง ๆ มานี้ พบผู้ป่วยมากขึ้นหลายเท่าตัว น่าจะเพราะวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวกระตุ้นอาการแพ้มีมากขึ้นจนทำให้แสดงอาการออกมาบ่อยและรุนแรงขึ้น ทำให้ดูเหมือนจำนวนคนไข้โรคนี้มีมากขึ้นกว่าเดิม"
เหมือนหวัด…แต่ไม่ใช่หวัด
อาการที่สังเกตได้เบื้องต้นของคนที่เป็นภูมิแพ้ทางเดินหายใจก็คือ น้ำมูก ไอ (เป็นมากในตอน กลางคืนและเช้ามืด) จามบ่อย ๆ คัดจมูก ปวดศีรษะ ปวดใบหน้า คล้าย ๆ กับเวลาเป็นหวัดแต่ไม่มีไข้ และอาการดังกล่าวก็มักจะเป็นเรื้อรังเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ๆ ไม่หาย
"อาการผิดปกติใด ๆ ก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย หากเรื้อรังเกินกว่า 1-2 สัปดาห์ หรือซื้อยารับประทานเองแล้วยังไม่ดีขึ้น ต่อให้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ควรไปปรึกษาคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสมจะดีกว่า" คุณหมอสุรสฤษดิ์แนะนำ
ยิ่งปล่อยไว้ยิ่งรุนแรง
หลายคนพอเห็นว่าอาการที่เป็นมันไม่ได้หนักหนาอะไรก็มักจะคิดว่าปล่อยไว้เดี๋ยวก็ดีขึ้น แต่ถ้าคุณเป็นภูมิแพ้ เมื่อระบบทางเดินหายใจถูกกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ต่อเนื่อง นานวันเข้าเยื่อบุจมูกที่อักเสบจะบวมขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้หายใจไม่ออก ต้องหายใจทางปาก หรือบางท่านจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่คุณหมอเรียกว่า "ริดสีดวงจมูก" ไปปิดกั้นทางเดินหายใจเพิ่มเข้าไปอีก
คุณหมอเสริมต่อว่า "ถ้าเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวไปขวางในช่องจมูกจะทำให้คุณหายใจไม่สะดวก คุณจะนอนกรนต้องนอนอ้าปากเพื่อหายใจทางปากแทน เพราะขาดอากาศขณะหลับ คุณภาพการนอนก็จะลดลง คุณจะรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม ตื่นมาปากคอแห้ง เจ็บคอทุกเช้า มีน้ำไหลจากจมูกลงคอตลอดเวลา คอไม่โล่ง หรือร้ายกว่านั้นก้อนที่ว่านี้อาจจะไปปิดรูเปิดไซนัสซึ่งอยู่บริเวณใบหน้า ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณใบหน้า ปวดศีรษะหรืออาจเกิดไซนัสอักเสบเพิ่มเติมขึ้นมา อีกโรคหนึ่งก็เป็นได้"
รู้แล้วอย่านิ่งนอนใจ
เพราะนานวันเข้าอาการแพ้อาจไม่อยู่แค่ในจมูกอีกต่อไป แต่จะลุกลามลงไปถึงหลอดลม เป็นต้นเหตุของ "โรคหืดจากภูมิแพ้" คุณจะแน่นหน้าอก หายใจลำบาก มีเสียงหวีดดังเวลาหายใจ โดยมักจะมีอาการเวลากลางคืน นอกจากนี้ ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ การจับหืดแต่ละครั้งจะทำให้สมรรถภาพของปอดลดลงจนในที่สุดอาจพัฒนาเป็นโรคหลอดลมอักเสบ เรื้อรัง หรือจนถึงขั้นเสียเนื้อปอดจนกลายเป็นถุงลมโป่งพองก็ได้
ทั้งนี้ เมื่อโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรมจึงไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แต่สามารถรักษาให้ดีขึ้น ควบคุมโรคได้มากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ถ้าคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคภูมิแพ้แล้ว หรือไม่อยากให้อาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่กำเริบ ก็ต้อง…
หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่พิสูจน์แล้วว่ามีผลต่อตนเองให้มากที่สุด
พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ
เครียดให้น้อยลง
บางคนอาจจำเป็นต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีตามที่อายุรแพทย์โรคภูมิแพ้แนะนำ
ตรวจร่างกาย รู้ผลชัวร์กว่า
การวินิจฉัยโรคนี้ต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียด การสังเกตตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ ลักษณะสิ่งแวดล้อมจากการทำงาน การตรวจ ร่างกาย เช่น การตรวจภายในโพรงจมูก รวมทั้งอาจจะมีการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง การเจาะเลือด หรือการตรวจเพิ่มเติม เพื่อยืนยันการวินิจฉัยอื่น ๆ ที่แพทย์เห็นสมควร ดังนั้น อย่าด่วนสรุปด้วยตัวเอง
มาทำความสะอาดจมูกกันเถอะ
การสวนล้างจมูกไม่ใช่เรื่องยุ่งยากและก็ไม่อันตราย แถมยังดีต่อสุขภาพอีกต่างหาก เพราะเป็นการทำความสะอาดโพรงจมูกให้โล่งขึ้นนั่นเอง แต่คุณหมอสุรสฤษดิ์เตือนไว้ว่า หากล้างอย่างถูกต้องก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าล้างผิดวิธี สำลักเอาน้ำเกลือพร้อมกับสิ่งสกปรกในโพรงจมูกเข้าไปในปอดละก็ ไม่ใช่เรื่องจิ๊บ ๆ แน่นอน
• ล้างจมูกทำได้ง่ายมาก
• ใช้กระบอกฉีดล้างจมูกขนาด 20 หรือ 50 ซี.ซี. ที่เตรียมไว้แล้วดูดน้ำเกลือ ซึ่งควรจะอุ่นสักนิดเพื่อลดอาการแสบจมูก
• นั่งหรือยืนโน้มตัวไปข้างหน้า และเอียงหน้าเล็กน้อย
นำปลายกระบอกฉีดล้างจมูกใส่เข้าไปในจมูกข้างที่จะล้างหรือหากมีปลอกซิลิโคน (ถ้ามีก็จะล้างง่ายขึ้น) ต่อเข้าที่ปลายกระบอกฉีดได้ยิ่งดี โดยพยายามให้ขอบซิลิโคนแนบกับจมูก
กลั้นหายใจพร้อมกับดันกระบอกสูบของกระบอกฉีดล้างจมูกเบา ๆ ให้น้ำเกลือไหลเข้าไปในจมูกช้า ๆ หลังจากที่น้ำเกลือส่วนใหญ่ไหลออกมาจากจมูกอีกข้างและหรือปากแล้วให้หายใจตามปกติได้
ดันน้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูกทุกทิศทาง และล้างจนกว่าจะรู้สึกว่าจมูกโล่ง
กันไว้ดีกว่าแก้
ระหว่างที่น้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูกจะต้องกลั้นหายใจไว้ มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการสำลักได้
หลังจากล้างเสร็จให้สั่งน้ำมูกหรือน้ำเกลือที่ค้างอยู่ในโพรงจมูก โดยสั่งเบา ๆ และสั่งออกทางจมูกพร้อม ๆ กันทั้งสองข้าง ไม่ควรเอานิ้วอุดรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง เพราะจะทำให้ปวดหู เกิดแก้วหูทะลุ หรือเกิดโรคหูอักเสบได้
ขอบคุณที่มาจาก นิตยสาร Lisa
Advertisement
เปิดอ่าน 99,569 ครั้ง เปิดอ่าน 32,839 ครั้ง เปิดอ่าน 55,641 ครั้ง เปิดอ่าน 46,748 ครั้ง เปิดอ่าน 25,808 ครั้ง เปิดอ่าน 22,477 ครั้ง เปิดอ่าน 15,777 ครั้ง เปิดอ่าน 16,331 ครั้ง เปิดอ่าน 33,807 ครั้ง เปิดอ่าน 31,837 ครั้ง เปิดอ่าน 17,998 ครั้ง เปิดอ่าน 18,516 ครั้ง เปิดอ่าน 19,062 ครั้ง เปิดอ่าน 32,540 ครั้ง เปิดอ่าน 23,738 ครั้ง เปิดอ่าน 13,498 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 23,807 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 19,801 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 17,057 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 16,518 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 37,775 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 17,998 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 82,488 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 18,643 ครั้ง |
เปิดอ่าน 26,068 ครั้ง |
เปิดอ่าน 13,129 ครั้ง |
เปิดอ่าน 15,668 ครั้ง |
เปิดอ่าน 3,942 ครั้ง |
|
|