ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมบทความการศึกษา  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

สาวไส้ความง่อยเปลี้ยระบบศึกษาไทย ใครอยู่เบื้องหลังความเหวอะหวะซ้ำซาก?


บทความการศึกษา 16 ก.พ. 2559 เวลา 13:55 น. เปิดอ่าน : 18,552 ครั้ง

Advertisement

สาวไส้ความง่อยเปลี้ยระบบศึกษาไทย ใครอยู่เบื้องหลังความเหวอะหวะซ้ำซาก?

ข้อสอบโหด คะแนนโอเน็ตตกต่ำ เด็กบ้าระห่ำเรียนพิเศษ ผลเฉลี่ยของประเทศต่ำกว่านานาชาติ นักเรียนไทย ครูไทย และหลักสูตรการศึกษาไทยกลายเป็นจำเลยที่ถูกตบหน้าฉาดใหญ่ว่า "ตัวปัญหา" แต่ในมุมของ "ดร.โกศล เพ็ชร์สุวรรณ์" คณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กลับเห็นต่าง

...นี่ไม่ใช่ความผิดของครู นักเรียน โรงเรียน แต่เป็นบทสะท้อนหนึ่งของระบบการศึกษาไทยที่ล้มเหลวจากอดีตผู้กุมนโยบายการศึกษาทั้งหลาย

ข้อสอบระดับชาติ ปัญหาระดับชาติ

คำกล่าวที่ว่า "ยิ่งโต ยิ่งเรียน ยิ่งไม่มั่นใจในระบบ" ดูจะเป็นภาพที่ชัดขึ้นจนใครหลายคนต้องหันกลับมาตั้งคำถาม และทวงถามถึงการเรียนรู้ที่แท้จริงของมนุษย์มากขึ้น แม้จะมีความหวังที่ผุดพรายขึ้นจากการตื่นตัวของผู้ใหญ่หลายๆ ฝ่าย แต่ก็ยังดูคลุมเคลือ และหลงทางอยู่มาก

ประเด็นนี้ ดร.โกศล ในฐานะคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของระบบการศึกษาไทย เริ่มตั้งแต่ตัว "ข้อสอบระดับชาติ" โดยเฉพาะมาตรฐานของข้อสอบที่ไม่สอดคล้องกับการวัดมาตรฐานความรู้ของเด็ก

ดร.โกศล บอกว่า ที่ผ่านมาการออกข้อสอบจะมาจากหลักสูตรแกนกลาง แต่ปัญหาคือ หลักสูตรแกนกลางกับหลักสูตรที่สอนมันไม่สอดคล้องกัน

"เวลาออกข้อสอบไม่ใช่วัดว่าเด็กโง่ หรือฉลาด แต่ต้องวัดว่าครูสอนมีประสิทธิภาพหรือไม่ เด็กสอบได้หรือไม่ได้มันอยู่ที่ความสามารถของครูว่าสอนเด็กได้ดีมากน้อยแค่ไหน ส่วนเรื่องข้อสอบ พอถูกพูดถึงมากขึ้นว่ายาก เด็กทำกันไม่ได้ ก็ออกมายอมรับ ขอโทษ ส่วนตัวมองว่า ออกมาโทษได้อย่างไร ฉะนั้นหลักการมันผิดไปหมด" ผู้ทรงคุณวุฒิท่านนี้บอกด้วยความละเหี่ยใจ ก่อนจะเสนอว่า "ต้องปฏิรูปวิธีการสอนด้วยโดยให้เด็กนักเรียนได้หัดคิด หัดวิเคราะห์ ครูควรจะพูด 5-10 นาที ทีเหลือ 40-50 นาทีควรให้เด็กเป็นคนคิด หรือนำเสนอ"

ส่วนเรื่องข้อสอบ ถ้าเด็กยังเคยชินกับข้อสอบแบบปรนัยในระบบโรงเรียน แม้จะเปลี่ยนเป็นข้อสอบอัตนัยในการสอบระดับชาติมันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก นอกจากนั้นยังกระทบไปถึงผลการประเมินคุณภาพการศึกษาด้วยวิธีการของ PISA (Programme for International Student Assessment) ของประเทศที่พัฒนาแล้ว (OECD) ที่ใช้ทดสอบนักเรียนอายุ 15 ปี ซึ่ง PISA เป็นข้อสอบแบบอัตนัยก็ยังคงออกมาไม่ดี เพราะเด็กไทยไม่คุ้นเคย ไม่แปลกที่การศึกษาไทยจะออกมาดูด้อยกว่าประเทศอื่น นี่คือสิ่งที่ต้องเฉลียวใจกันได้แล้ว

"ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาด้วยวิธีการของ PISA ธนาคารโลก สถาบัน IMD มักจะเอาตัวนี้ไปอ้าง หรือใครๆ ก็เอาตัวนี้ไปอ้าง ในที่สุดก็มาบอกว่า ประเทศไทย เด็กไทยคุณภาพด้อยกว่าประเทศอื่น ซึ่งน่าสงสารมากที่ผู้ใหญ่เอามาพูดโดยที่ผู้ใหญ่เองเป็นผู้วางนโยบายต่างๆ ไม่เข้าใจ แต่กลับไปเอาครู เด็กไปเป็นจำเลยของสังคม แต่ถ้าคุณบอกเข้าใจ คุณต้องเข้าใจมันจริงๆ โดยต้องเริ่มปฏิรูปวิธีการเรียนการสอนให้เด็กคุ้นเคยกับการสอบแบบอัตนัยเสียก่อน

ผมเคยไปกระทู้ถามท่านดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แล้วท่านก็มาสั่งให้สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) บอกว่า ต่อไปเวลาการสอบให้เน้นข้อสอบแบบอัตนัย หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่าสพฐ.ตอบรับแล้ว ต่อไป 30 เปอร์เซ็นต์ของการสอนภาษาไทยจะเป็นแบบอัตนัย ซึ่งผมก็ตกใจ สอบภาษาไทยมันต้องเป็นแบบอัตนัยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ที่อยากชี้ให้เห็นก็คือ วิชาคณิตศาสตร์ ไม่ใช่ท่องจำมาแล้วขีดถูกขีดผิด เพราะวิธีขีดถูกขีดผิดมันก็เลยทำให้โรงเรียนกวดวิชายิ่งเจริญรุ่งเรือง

พอเด็กเข้าไปกวดวิชาก็จำมาให้รู้เทคนิคของการคิดขีดถูกขีดผิด ไม่ได้ใช้เหตุผล ไม่ได้ใช้การคิดวิเคราะห์ หรืออย่างคะแนนโอเน็ต ต่างประเทศเขาไม่ได้สนใจเลย มันเป็นเรื่องภายในทั้งสิ้น มันไม่ได้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ เมื่อคะแนนตกต่ำแทนที่จะเฉลียวใจได้แล้ว ทำไมต้องไปเอาครู หรือนักเรียนมาเป็นจำเลยด้วย ทำไมไม่คิดถึงตัวข้อสอบเองล่ะว่า ออกข้อสอบไปทำอะไร"

การศึกษาชาติล้มเหลว ผิดที่ใคร?

ดังนั้น การจะพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดี และคุ้นเคยกับวิธีการประเมินแบบอัตนัยของประเทศที่พัฒนาแล้ว ต้องหันกลับมามองที่ตัวการใหญ่คือ "ผู้กุมนโยบายการศึกษา" โดยมุ่งเน้นการสอบแบบอัตนัย โดยเฉพาะการสอน การสอบในรั้วมหาวิทยาลัย ตลอดจนการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย เพราะถ้าเริ่มเปลี่ยนจากจุดนี้ การศึกษาขั้นพื้นฐาน และการทดสอบระดับชาติ หรือโอเน็ตก็จะเปลี่ยนตาม

"คุณภาพการศึกษาไทยที่ว่าด้อยไม่ได้มาจากครูเป็นหนี้ เพราะท่านดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณเคยเอาเรื่องหนี้ของครูมาให้ดู แล้วพบว่า ในครูจำนวน 4 แสนกว่าคน มีครูที่วิกฤตเรื่องหนี้อยู่ไม่ถึง 2,000 คน แต่คุณภาพการศึกษามันอยู่ที่ผู้วางนโยบาย เอาไปพูดต่อโดยไม่เข้าใจ ดังนั้นส่วนตัวมองว่าหลักสูตรของเรามันไม่ได้ด้อยหรอก ครูผู้สอนก็ไม่ได้ด้อยกันไปหมด นักเรียนไทยก็ไม่ด้อยไปกว่าประเทศอื่น เพียงแต่วิธีการประเมินผลของ PISA เด็กไทยเราไม่คุ้นเคยกัน กระทรวงศึกษาก็ไม่ได้สนใจ ภาพการศึกษาไทยก็เลยออกมาเป็นแบบนี้"

ทั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากการปฏิรูปตัวชี้วัด และวิธีการเรียนการสอนโดยเน้นข้อสอบแบบอัตนัยแทนปรนัย คณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ท่านนี้เสนอว่า ควรหันมาใช้ยุทธศาสตร์การกระจายอำนาจการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดกลาง และขนาดเล็ก สร้างเครือข่ายในแต่ละเขตพื้นที่เพื่อยกค่าเฉลี่ยระดับจังหวัด

"ก่อนที่คสช.จะเข้ามา ผู้กำหนดนโยบายการศึกษาคือ นักการเมืองที่ไปบริหารกระทรวงศึกษาธิการ พอเข้าไปก็เก่งหมด ทำโน่น ทำนี่ กลายเป็นโครงการโน้น โครงการนี้ แต่ตัวเองก็อยู่ได้ไม่นาน แถมไม่มีใครสานต่อ หรือประเมินผลกัน ส่วนตัวกล้าพูดได้เลยว่า การศึกษาที่บอกว่าตกต่ำ ไม่ได้มาจากครู นักเรียน แต่ที่ตกต่ำเพราะอดีตผู้กำหนด หรือผู้กุมนโยบายการศึกษาที่ไม่เข้าใจปัญหา และเกาไม่ถูกที่คัน

ถ้าอยากจะให้พัฒนาในทางที่ดี ส่วนตัวเสนอให้อำนาจเป็นพื้นที่ๆ หรือเป็นจังหวัดๆ ไป จากนั้นเอาทรัพยากรทางด้านครูในจังหวัดมาพิจารณาร่วมกันว่าครูคนนี้ต้องไปสอนโรงเรียนนั้น ครูคนนี้ต้องไปสอนโรงเรียนนี้ ผิดกับทุกวันนี้ที่ในจังหวัดมีโรงเรียนประจำจังหวัด และเด็กมักจะแห่ไปเข้าเรียนกัน ส่วนโรงเรียนในพื้นที่ชนบทแทบจะไม่ได้รับอะไรเลย เมื่อได้ครู ได้ความเข้าใจที่ตรงกันแล้ว มีการจัดห้องเรียนอย่างเหมาะสม เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ คุณภาพของนักเรียนไทย ครูไทย และหลักสูตรการศึกษาของไทยจะไม่ด้อยไปกว่าประเทศอื่น"


"ผอ." กับการได้มาที่น่าห่วง

ส่วนอีกหนึ่งปัญหาที่น่าเป็นห่วงก็คือ การได้มาของผู้บริหารสถานศึกษา หรือครูใหญ่ รวมไปถึงผู้ช่วยครูใหญ่ที่ต้องกลับมาทบทวน และแก้ไข

"การได้มาล้วนแล้วแต่ได้มาจากการสอบ และข้อสอบส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของระเบียบราชการแทบทั้งนั้น ทำให้ส่งผลต่อการบริหารการศึกษาที่เน้นการสั่ง การใช้อำนาจ แทนที่จะให้ความสำคัญกับงานวิชาการ นอจากนั้นยังเข้ามาจัดการเรื่องการก่อสร้างเสียเป็นส่วนใหญ่ มีครูใหญ่น้อยคนนักที่สนใจเรื่องวิชาการ

เช่นเดียวกับตัวครูผู้สอน ไม่ใช่ให้ครอบงำโดยครูที่ผ่านกระบวนการผลิตครูเท่านั้น ส่วนตัวมองว่าเรื่องมาตรฐานวิชาชีพครู ใบประกอบวิชาชีพครูจะต้องสังคายนากันครั้งใหญ่" ก่อนจะทิ้งท้ายว่า "เด็กไทยไม่โง่ครับ นอกจากครูไปสอนให้เด็กโง่ ส่วนระบบครู ผมมองว่าก็ยังดีอยู่นะ มีจำนวนมากเลยที่ยังดีอยู่ ที่ไม่ดีก็คือผู้กำหนดนโยบายการศึกษา และการได้มาของครูใหญ่ที่ผมมองว่าเป็นปัญหาใหญ่ในตอนนี้" 

 

 

ที่มา ผู้จัดการรายวัน วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559


สาวไส้ความง่อยเปลี้ยระบบศึกษาไทย ใครอยู่เบื้องหลังความเหวอะหวะซ้ำซาก?สาวไส้ความง่อยเปลี้ยระบบศึกษาไทยใครอยู่เบื้องหลังความเหวอะหวะซ้ำซาก?

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

"ฟุตบอล"...สอนอะไร

"ฟุตบอล"...สอนอะไร


เปิดอ่าน 7,771 ครั้ง
เราสอบไปเพื่ออะไร?

เราสอบไปเพื่ออะไร?


เปิดอ่าน 21,342 ครั้ง
หนี้สิน หนี้เสีย แก้ได้

หนี้สิน หนี้เสีย แก้ได้


เปิดอ่าน 10,017 ครั้ง
การศึกษาในกะลา

การศึกษาในกะลา


เปิดอ่าน 11,184 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

โอเน็ต!ยัง โอเค?

โอเน็ต!ยัง โอเค?

เปิดอ่าน 9,072 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
การศึกษาในกะลา
การศึกษาในกะลา
เปิดอ่าน 11,184 ☕ คลิกอ่านเลย

ปัดฝุ่น "สถาบันฝึกหัดครู" พัฒนาพลเมืองการศึกษาศตวรรษ 21
ปัดฝุ่น "สถาบันฝึกหัดครู" พัฒนาพลเมืองการศึกษาศตวรรษ 21
เปิดอ่าน 9,134 ☕ คลิกอ่านเลย

หนี้การศึกษา
หนี้การศึกษา
เปิดอ่าน 7,911 ☕ คลิกอ่านเลย

ไขข้อข้องใจ การบ้านยังจำเป็นสำหรับเด็กยุคใหม่หรือไม่?
ไขข้อข้องใจ การบ้านยังจำเป็นสำหรับเด็กยุคใหม่หรือไม่?
เปิดอ่าน 24,673 ☕ คลิกอ่านเลย

รื้อระบบ - แก้ยกแผงดันมหาวิทยาลัยไทยสู่ระดับโลก
รื้อระบบ - แก้ยกแผงดันมหาวิทยาลัยไทยสู่ระดับโลก
เปิดอ่าน 7,500 ☕ คลิกอ่านเลย

การพัฒนาการบริหารจัดการศึกษา 4.0 ภายใต้พลวัตแห่งศตวรรษที่ 21 สู่การเป็นประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนอย่างยั่งยืนของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานไทย
การพัฒนาการบริหารจัดการศึกษา 4.0 ภายใต้พลวัตแห่งศตวรรษที่ 21 สู่การเป็นประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนอย่างยั่งยืนของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานไทย
เปิดอ่าน 68,842 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

นางสงกรานต์ ปี 2559 "มณฑาเทวี" ทำนายฝนตกไม่ทั่วเมือง ข้าวพัง-ของแพง
นางสงกรานต์ ปี 2559 "มณฑาเทวี" ทำนายฝนตกไม่ทั่วเมือง ข้าวพัง-ของแพง
เปิดอ่าน 24,839 ครั้ง

บัญชีเงินเดือนข้าราชการพลเรือน
บัญชีเงินเดือนข้าราชการพลเรือน
เปิดอ่าน 46,231 ครั้ง

ทำไมหยดน้ำจึงกลิ้งบนใบบัวได้
ทำไมหยดน้ำจึงกลิ้งบนใบบัวได้
เปิดอ่าน 39,684 ครั้ง

สังเคราะห์ยาเสพติดรูปแบบใหม่ขึ้นอีก แรงกว่ากัญชา 5 เท่า
สังเคราะห์ยาเสพติดรูปแบบใหม่ขึ้นอีก แรงกว่ากัญชา 5 เท่า
เปิดอ่าน 12,628 ครั้ง

แฉช่องโหว่ Windows 7
แฉช่องโหว่ Windows 7
เปิดอ่าน 15,100 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ